บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก พฤษภาคม, 2019

อาณาจักรมูดินแดนที่เคยรุ่งเรืองเมื่อครั้งอดีตกาล แต่ต้องล่มสลายลงเพราะภัยพิบัติ

รูปภาพ
ดินแดนที่เคยรุ่งเรืองเมื่อครั้งอดีตกาล แต่ต้องล่มสลายลงเพราะภัยพิบัติที่ไม่มีใครคาดคิด! ณ ดินแดนที่เชื่อกันว่าเป็นจุดกำเนิดอารยธรรมและเป็น ‘ทวีปแห่งมารดร’ ของมวลมนุษยชาติ ดินแดนที่เคยเป็นศูนย์กลางของโลกทั้งใบ แต่ทว่าเมื่อกาลเวลาและสภาพอากาศที่แปรเปลี่ยน ทำให้ดินแดนแห่งนี้หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย ว่ากันว่า แนวโขดหินใต้น้ำโยนากุนิที่ประเทศญี่ปุ่น (‘โยนากุนิ’ ซากมหาวิหารลึกลับใต้ทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปริศนาการสร้างที่ยังรอการพิสูจน์) หรือ หุ่นโมอายที่เกาะอีสเตอร์ (‘โมอาย’ รูปปั้นหินปริศนาแห่งเกาะอีสเตอร์ มรดกโลกสุดล้ำค่าที่ยังรอการพิสูจน์ว่าสร้างเพื่อจุดประสงค์ใดกันแน่) คือผลงานการสร้างของผู้คนที่เคยอาศัยอยู่ ณ ดินแดนแห่งนี้! จากการศึกษา ‘จารึกแห่งนาอะคัล’ (Naacal) อันเป็นจารึกเก่าแก่ที่เขียนเป็นสัญลักษณ์ และอักขระนากา (Naga) ที่ถูกค้นพบในประเทศอินเดีย โดยผู้ที่ทำการศึกษาจารึกก็คือนักโบราณคดีชาวอังกฤษนามว่า ‘เจมส์ เชิร์ชวาร์ด’ (James Churchward) ตามจารึกกล่าวไว้ว่า เมื่อกว่า 50,000 ปีก่อน เคยมีมหาทวีปที่เจริญรุ่งเรืองเหนือดินแดนใดนามว่า ‘เลมูเรีย’ (Lemuria) หรือ ‘อาณาจักร

6 สิ่งตลก ๆ ที่คุณไม่รู้เกี่ยวกับชาวกรีกโบราณ

รูปภาพ
    จากหน้าบันทึกในประวัติศาสตร์เป็นที่รู้กันว่าชาวกรีกนั้นเป็นนักคิดและนักปรัชญา ร่องรอยอารยธรรม และภูมิปัญญาหลาย ๆ อย่างถูกส่งต่อกันมาเป็นทอด ๆ ซึ่งเราก็ได้เรียนรู้เรื่องนี้จากหนังสือเรียนในวิชาประวัติศาสตร์ แต่ยังมีสิ่งที่หนังสือและคาบเรียนวิชาประวัติศาสตร์ไม่ได้บอกกล่าวไว้ และนี่คือ 6 ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในสมัยกรีกโบราณ ผู้ชายปาแอปเปิ้ลใส่ผู้หญิงที่ตนรัก ในสมัยกรีกโบราณ ผู้ชายจะปาแอปเปิ้ลใส่ผู้หญิงที่เขารัก ซึ่งเป็นการประกาศความรู้สึกของชายหนุ่มที่มีต่อหญิงสาวผู้นั้น เนื่องจากแอปเปิ้ลถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำหรับเทพแอโฟรไดที ผู้เป็นเทพีแห่งความรักความปรารถนา คิ้วที่ดกหนา และติดกันเป็นแพถือเป็นสัญลักษณ์ของความฉลาด ชาวกรีกโบราณมีค่านิยมว่าคิ้วที่ดกหนา และติดกันเป็นแพเป็นสัญลักษณ์ที่จะบ่งบอกความฉลาด ความสง่างาม และความงดงามของคนผู้นั้น ดังนั้นหญิงสาวชาวกรีกโบราณที่ไม่ได้มีคิ้วรูปลักษณ์เช่นนี้จึงต้องเขียนคิ้วตนเองให้ชนกันเพื่อเพิ่มความสวยงามของตน คนบ้าในสายตาชาวกรีกคือคนที่ไม่สนใจการเมือง ในสมัยกรีกโบราณคำว่า ‘idiot’ ใช้อธิบายคนที่ไม่สนใจหรือไม

พบซากเรือแห่งแม่น้ำไนล์ หลักฐานที่พิสูจน์ว่าเฮอโรโดทัสไม่ได้โกหก

รูปภาพ
เหล่านักวิชาการสันนิษฐานว่า เรือลำนี้จมอยู่ใต้แม่น้ำไนล์มานานกว่า 2,500 ปีแล้ว และตอนนี้ความลับของมันกำลังจะถูกเปิดเผย และซากเรือนี้อาจเป็นเบาะแสสำคัญสำหรับข้อถกเถียงของนักวิทยาศาสตร์ที่มีมานานนับศตวรรษ ในประวัติศาสตร์นิพนธ์ลำดับที่ 2.96 ของเฮอโรโดทัส ที่เผยแพร่เมื่อราว 450 ปีก่อนคริสตกาล เขาได้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินทางไปอียิปต์ ด้วยเรือบรรทุกสินค้าในแม่น้ำไนล์ที่เรียกว่า “Baris” ในภาพร่างมันถูกสร้างขึ้นด้วยอิฐ สานพื้นเรือด้วยต้นกกและมีช่องที่ท้องเรือสำหรับใส่หางเสือรอดผ่านไปด้านนอก โดยใช้ระบบขับเคลื่อนด้วยแรงลมและมีคนคอยบังคับทิศทางด้วยหางเสือ เหมือนกับที่เห็นได้ในรูปแบบของเรือยุคฟาโรห์ แต่เรายังไม่เคยค้นพบหลักฐานการมีอยู่ทางโบราณคดีนอกเหนือจากภาพวาดจนถึงตอนนี้ เรือนี้ถูกเรียกว่า Ship 17 พบในเมืองท่าโบราณ Thonis-Heracleion ที่เคยรุ่งเรืองในช่วง 664-332 ปีก่อนคริสตกาล แต่ปัจจุบันจมอยู่ใต้น้ำใกล้กับปากแม่น้ำไนล์ ที่นี่นักวิจัยได้มีการสำรวจซากเรือไปแล้วกว่า 70 ลำ ซึ่งเผยให้เห็นถึงรายละเอียดที่น่าทึ่งเกี่ยวกับศูนย์กลางการค้าและวัฒนธรรมยุคโบราณมากมาย แม

The Wreck of the SS City of Adelaide ซากเรือที่กลายมาเป็นเกาะ

รูปภาพ
The Wreck of the SS City of Adelaide ซากเรือที่กลายมาเป็นเกาะ ภาพที่เราเห็นกลุ่มต้นไม้ขึ้นอยู่กลางทะเลนี้ ที่จริงแล้วพื้นที่ตรงนั้นไม่ได้เป็นเกาะหรือพื้นดิน... แต่มันคือซากเรือที่อับปางลงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่างหาก แล้วซากเรือนี้กลายเป็นเกาะได้อย่างไร วันนี้เราจะพาไปหาคำตอบกัน ซากเรือนี้ตั้งอยู่ห่างจากชายฝั่งของเกาะ Magnetic ประมาณ 300 เมตรในเมืองแอดิเลด รัฐเซาท์ออสเตรเลีย ประเทศออสเตรเลียหรือที่รู้จักกันในชื่อ “The Wreck of the SS City of Adelaide” .. ในอดีตมันเป็นเรือยนต์ขนาดใหญ่ที่ขับเคลื่อนด้วยไอน้ำ ได้รับการเปิดตัวในเมืองกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์ เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม ในปี 1863 และถูกโจมตีและอับปางลงในปี 1912 ความพิเศษของซากเรือนี้ก็คือ ต้นไม้ที่เติบโตขึ้นบนส่วนของซากเรือที่โผล่พ้นน้ำที่เปลี่ยนให้ซากเรือกลายมาเป็นเกาะเล็กๆ ทำให้เกิดบรรยากาศที่สวยงามของต้นไม้สีเขียวที่ตัดกับน้ำทะเลได้อย่างลงตัว  และแน่นอนว่ามันทำให้ซากเรือลำนี้กลายเป็นจุดเด่นที่สามารถสังเกตได้ง่าย.... มันจึงถูกใช้เป็นเป้าหมายของเครื่องบินทิ้งระเบิดของกองทัพอากาศออสเตรเลีย (RAAF

The Hidden Beach

รูปภาพ
The Hidden Beach หรือ The beach of love คุณต้องว่ายน้ำใต้น้ำเพื่อหาชายหาดที่ซ่อนอยู่ในเม็กซิโก ผลของความโหดร้ายของสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้แปรเปลี่ยนธรรมชาติ แต่ในที่สุดก็มาลงตัวที่ได้มีหาดทรายนุ่ม น้ำอุ่นๆ ให้ผู้คนได้ค้นหา บนเกาะ The Marieta Islands ตั้งอยู่ใกล้ Puerto Vallarta ประเทศเม็กซิโก มีชื่อเรียกว่า "Playa del Amor" หรือ "The Beach of Love"  แม้ว่าเกาะนี้ดูเหมือนปลายทางสุดโรแมนติกที่สามารถหาได้ แต่ก็มีต้นกำเนิดที่น่าเศร้ามาก ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งรัฐบาลเม็กซิกันใช้หมู่เกาะของตนเป็นเป้าหมายในการทำระเบิดและหลุมบนชายหาดเป็นผลมาจากการทิ้งระเบิดในครั้งนั้น การเข้าชายหาดแห่งนี้ คุณต้องว่ายน้ำใต้น้ำผ่านอุโมงค์สั้น ๆ ที่เชื่อมต่อกับชายหาดที่ซ่อนอยู่ เมื่อเข้ามาถึงภายในนั้นมีน้ำอุ่นและทรายอ่อนนุ่มรออยู่ ชายหาดยังล้อมรอบด้วยแนวปะการังที่สามารถดำน้ำตื้นชมได้อีกด้วย แม้ว่าดวงอาทิตย์ที่ได้ส่องแสงลงบนหาดนี้เป็นภาพที่งดงาม แต่ก็สามารถจะชมดูว่าชายหาดแห่งนี้มีลักษณะเป็นอย่างไรในเวลากลางคืนเช่นกัน เราต้องจินตนาการว่าดาวเป็นสิ่งที่น่าทึ่ง เพื

พบกับสัตว์ดึกดำบรรพ์ สายพันธุ์สุดโหดในอดีตที่สูญพันธุ์ไปก็อาจจะดีแล้ว…

รูปภาพ
สวัสดีครับวันนี้ก็มาพบกันได้กับ นะครับผม โดยวันนี้เราจะพาเพื่อนๆ ไปรู้จักกับสัตว์เก่าแก่หลายๆ ชนิดเลยล่ะจ้า รับรองว่าเพื่อนจะต้องชอบแน่นอนเลยล่ะ เชื่อมั้ยหลับว่าก่อนที่มนุษย์จะเป็นเผ่าพันธุ์ที่อยู่สูงสุดบนห่วงโซ่อาหารอย่างทุกๆ วันนี้ เชื่อมั้ยละว่าในอดีตครั้งดึกดำบรรพ์มีสัตว์นักล่า ขนาดยักษ์สุดโหดถือครองตำแหน่งนี้กันมาก่อน!! เราอาจจะรู้สึกโชคดีเลยก็ได้นะครับในบางเคส ที่มันสูญพันธุ์ไป เพราะไม่งั้น โลกนี้คงอยู่ยากแน่ๆ เลยล่ะครับ จะมีสัตว์ไซส์ยักษ์ หรือสัตว์แปลกๆ อะไรบ้างเรามาชมกันเลยดีกว่า เมกะเธเรียม (Megatherium) ลองจินตนาการถึงตัวสลอท สุดเชื่องช้าแถบแอฟริกาใต้กันดูนะครับ เจ้าตัวนี้ก็คล้ายๆ กัน แต่!! มันมีน้ำหนักถึง 4 ตัน ตัวยาว 6 เมตร และทรงพลังสุดๆ ไปเลยล่ะ…แหม พอฟัดพอเหวี่ยงกับช้างเลยนะครับ คุณสลอททท ไจแกนโทพิเธคัส (Gigantopithecus)   เมื่อกล่าวถึงลิงยักษ์ ใครๆ ก็คงจะนึกถึงราชาแห่งลิง หรือเจ้าคิงคองนั่นเองใช่มั้ยล่ะ โดยเจ้าตัวนี้เป็นลิงไร้หางขนาดใหญ่ที่สุดที่เคยมีอยู่บนโลกเมื่อประมาณเก้าล้านถึงแสนปีที่ผ่านมา ถ้ามันยืนตรงก็สูงเกือบ 3 เมตร หนัก 540

ปริศนาทะเลสาบลึกลับ ที่เต็มไปด้วยกระดูกมนุษย์ แท้จริงมาจากไหนกันแน่

รูปภาพ
ในขณะที่นักผจญภัยหลายๆ คนชื่นชอบที่จะไปท่องเที่ยวยังทะเลสาบที่สวยงาม แต่ในบางครั้งพวกเขาอาจคาดไม่ถึงว่าจะได้พบเจอกับทะเลสาบแบบนี้ Roopkund ทะเลสาบที่อยู่เหนือระดับน้ำทะเลถึง 16,000 ฟุต บนเทือกเขาหิมาลัย ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย ถูกค้นพบโดยนายพรานคนหนึ่งในปี 1942 แต่ทะเลสาบแห่งนี้จะดูงดงามขึ้นมาก หากเขาไม่ได้พบว่า ทะเลสาบแห่งนี้เต็มไปด้วยกระดูกมนุษย์จำนวนมากมายมหาศาล ในตอนแรก กระดูกเหล่านี้ถูกคาดว่าเป็นของบรรดาทหารญี่ปุ่น ที่ถูกปล่อยทิ้งให้ตายในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่หลังการตรวจสอบแล้วกลับพบว่า มันเป็นของผู้คนที่ตายในช่วง ค.ศ. 850 จากปี 1950-2005 ไม่มีใครสามารถระบุได้ว่า สิ่งที่คร่าชีวิตผู้คนมากมายเหล่านี้คืออะไรกันแน่ แม้ว่านักวิจัยจะพยายามสำรวจถึงความเป็นไปได้ต่างๆ มากมาย แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุด กลับกลายเป็นตำนานพื้นบ้านที่ถูกเล่าขานสืบต่อกันมา เกี่ยวกับโครงกระดูกในแม่น้ำแห่งนี้ ตามตำนานเล่าถึงความโกรธเกรี้ยวของเทพธิดาองค์หนึ่ง ที่เสกให้หินก้อนใหญ่มากมายตกลงมาเป็นห่าฝนจนคร่าชีวิตนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ซึ่งเมื่อกลุ่มนักวิจัยที่เป

หวั่นมนุษย์สูญพันธ์ุผลวิจัยชี้ผู้ชายมีสเปิร์มน้อยลงจาก 40 ปีก่อน 50%

รูปภาพ
ผลการวิจัยชิ้นใหม่ชี้ว่า ผู้ชายชาวตะวันตกมีประมาณสเปิร์มลดลงจากเมื่อ 40 ปีก่อนกว่า 50% ทำให้ผู้เชี่ยวชาญกังวลว่า หากปัญหายังดำเนินต่อไป มนุษย์อาจจะต้องสูญพันธ์ุ... สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า วารสารการอัพเดตสถานการณ์การสืบพันธ์ุของมนุษย์ (human reproduction update) วารสารรายเดือนประจำวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 เผยผลการศึกษาซึ่งชี้ว่า ผู้ชายในทวีปอเมริกาเหนือ, ยุโรป, ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ มีปริมาณสเปิร์มน้อยกว่าเมื่อ 40 ปีก่อนราว 50% ผลการศึกษาดังกล่าวมาจากการประเมินผลการศึกษาอื่นๆ กว่า 185 รายงานที่เกิดขึ้นระหว่างปี พ.ศ. 2516 ถึง พ.ศ. 2554 ถือเป็นหนึ่งในการศึกษาวิจัยครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยพบว่าในช่วงเวลาดังกล่าว การหลั่งสเปิร์มของชาวตะวันตกลดลงเฉลี่ยปีละ 1.4% จนกระทั่งเหลือเพียง 52% ในปี 2554 เพื่อเทียบกับปี 2516 ผลวิจัยยังพบด้วยว่า ผู้ชายในทวีปอเมริกาเหนือ, ยุโรป, ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ มีความเข้มข้นของสเปิร์มลดลง 52.4% และปริมาณสเปิร์มโดยรวมลดลง 59.3% ซึ่ง ดร. ฮาไก ลีไวน์ นักระบาดวิทยาจากมหาวิทยาลัยฮิบรูแห่งเยรูซาเลม และผู้นำการเขียนผลการวิจัยครั้งนี

คนกันเองข่มเหงฆ่า คนแคระโบราณจนสูญพันธ์ุ

รูปภาพ
นักวิทยาศาสตร์ ได้ลงความเห็นว่ามนุษย์เรานี้เองที่ทำให้เหล่า มนุษย์แคระ ที่เรียกกันว่า “ฮอบบิท” เคยหลงเหลืออาศัยอยู่บนเกาะฟลอเรส ของอินโดนีเซีย ต้องพากันสูญสิ้นไปหมดเร็วขึ้น ยิ่งกว่าที่คาดกันมาก่อน คณะวิจัยของมหาวิทยาลัยวูลองกอง แห่งออสเตรเลีย ได้กล่าวว่า จากการศึกษากระดูกของมนุษย์แคระ ที่พบหลงเหลืออยู่ในถ้ำอีกครั้ง ได้ผลลัพธ์ที่แน่ใจว่า มนุษย์ที่น่าสงสารเหล่านี้ ได้หายไปตั้งแต่ 50,000 ปีมาแล้ว นานกว่าที่เชื่อกันมาก่อนว่า เพิ่งสูญพันธุ์ไปเมื่อ 12,000 ปี พร้อมกับสัตว์อื่นไปด้วย อย่างเช่น ช้างแคระ เหยี่ยวนกกระสา และมังกรโกโมโด การค้นพบซากโบราณมนุษย์แคระเหล่านี้ เมื่อปี พ.ศ. 2546 ได้ก่อความตื่นเต้นให้กับโลกวิทยาศาสตร์มาก พวกเขามีความสูง 3 ฟุตครึ่ง มี มันสมองขนาดเท่าลิงชิมแปนซี ยังคงใช้ก้อนหินเป็นอาวุธ และชอบล่าช้างแคระ นักวิจัยได้ออกตัวว่า ยังไม่พบหลักฐานโดยตรงเกี่ยวกันระหว่างมนุษย์ฮอบบิทกับบรรพบุรุษมนุษย์ปัจจุบัน โฮโม เซเปียนส์ แต่ตั้งข้อสังเกตว่ามนุษย์เชื้อสายปัจจุบัน ก็ถูกพบว่าเคยมีชีวิตอยู่บนเกาะอื่น ในเขตเดียวกัน ในเวลาไล่ๆกัน และได้เดินทางต่อไปจนถึงทวีปออสเตรเลีย

พบรอยเท้ามนุษย์อายุ 13,000 ปี นอกชายฝั่งแคนาดา

รูปภาพ
มีการวิจัยก่อนหน้ามีข้อมูลระบุว่าช่วงสุดท้ายของยุคน้ำแข็งนั้นสิ้นสุดเมื่อประมาณ 11,700 ปีที่แล้ว และมนุษย์เดินทางจากเอเชียมาถึงทวีปอเมริกา โดยข้ามฝั่งไปอเมริกาเหนือจนถึงชายฝั่งตะวันตกของรัฐบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา แต่ล่าสุด นักมานุษยวิทยาจากสถาบันฮาไกและมหาวิทยาลัยวิกตอเรียในแคนาดาเผยถึงความเป็นไปได้ว่ามนุษย์อาจมาถึงดินแดนแถบนี้นานกว่านั้น จากหลักฐานที่เปิดเผยเมื่อเร็วๆนี้ นั่นคือรอยเท้าโบราณ 3 แบบที่เป็นของมนุษย์ ซึ่งถูกค้นพบบนชายหาดของเกาะแคลเวิร์ต ในรัฐบริติชโคลัมเบีย ซึ่งเกาะดังกล่าวตั้งอยู่นอกชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกของแคนาดา นักมานุษยวิทยาได้ประเมินอายุและวัดวิเคราะห์ด้วยภาพดิจทัล สันนิษฐานว่ารอยเท้าเหล่านี้น่าจะมีอายุราว 13,000 ปี โดยเป็นรอยเท้าผู้ใหญ่ 2 คนและเด็ก 1 คน นักมานุษยวิทยาเชื่อว่ารอยเท้ามนุษย์โบราณที่พบครั้งนี้จะเป็นการเพิ่มพยานหลักฐานสนับสนุนสมมติฐานที่ว่ามนุษย์ใช้เส้นทางชายฝั่งทะเลในการอพยพเดินทางจากทวีปเอเชียไปยังทวีปอเมริกาเหนือในช่วงปลายยุคน้ำแข็ง และหากขุดเจาะด้วยวิธีการขั้นสูง ก็อาจมีแนวโน้มที่จะค้นพบรอยเท้ามนุษย์ในพื้นที่มากขึ้น 

พบสายพันธุ์ใหม่ของกิ้งก่าทะเลยุคโบราณ

รูปภาพ
ค้น พบสายพันธุ์ใหม่ของกิ้งก่าทะเลยุคโบราณ เมื่อไม่นานนี้นักบรรพชีวินวิทยาจากมหาวิทยาลัยอัลเบอร์ตา ในประเทศแคนาดา เผยพบซากดึกดำบรรพ์หรือฟอสซิล (fossil) กิ้งก่าทะเลชนิดหนึ่ง โดยมีหลักฐานสำคัญคือกล้ามเนื้อและผิวหนังที่ธรรมชาติได้เก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี เมื่อนำไปวิเคราะห์ก็พบว่าเป็นสายพันธุ์ใหม่ของกิ้งก่าทะเลที่เคยมีชีวิตอยู่เมื่อ 70–75 ล้านปีก่อน ซากดึกดำบรรพ์ดังกล่าวได้รับการตั้งชื่อว่า primitivus manduriensis พบในแคว้นปุลยา ประเทศอิตาลี เป็นชนิดของกิ้งก่าตัวยาวตระกูล dolichosaur ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับสัตว์เลื้อยคลานอย่าง งู และโมซาซอร์ (mosasaurs) เป็นกลุ่มกิ้งก่าทะเลคล้ายงูที่เคยมีชีวิตอยู่ปลายยุคครีเตเชียส ซากฟอสซิลถูกค้นพบในพื้นที่แห่งหนึ่งที่เคยมีสภาพเป็นน้ำตื้น  สันนิษฐานว่าหลังจากที่กิ้งก่าโบราณตัวนี้ตาย ร่างของมันได้ตกลงไปที่ด้านล่างและถูกทับถมด้วยตะกอน ทำให้ปลอดภัยจากการกัดเซาะของน้ำที่เคลื่อนที่ไปมา รวมทั้งไม่มีนักล่าอื่นๆ มากัดกินซากให้สูญสลาย นักบรรพชีวินวิทยาเผยว่ากิ้งก่าตัวยาวชนิดใหม่นี้มีมือและเท้าพายเพื่อว่ายน้ำและยังเดินบนบกได้ แต่