อาณาจักรมูดินแดนที่เคยรุ่งเรืองเมื่อครั้งอดีตกาล แต่ต้องล่มสลายลงเพราะภัยพิบัติ

ดินแดนที่เคยรุ่งเรืองเมื่อครั้งอดีตกาล แต่ต้องล่มสลายลงเพราะภัยพิบัติที่ไม่มีใครคาดคิด!
ณ ดินแดนที่เชื่อกันว่าเป็นจุดกำเนิดอารยธรรมและเป็น ‘ทวีปแห่งมารดร’ ของมวลมนุษยชาติ ดินแดนที่เคยเป็นศูนย์กลางของโลกทั้งใบ แต่ทว่าเมื่อกาลเวลาและสภาพอากาศที่แปรเปลี่ยน ทำให้ดินแดนแห่งนี้หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย ว่ากันว่า แนวโขดหินใต้น้ำโยนากุนิที่ประเทศญี่ปุ่น (‘โยนากุนิ’ ซากมหาวิหารลึกลับใต้ทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปริศนาการสร้างที่ยังรอการพิสูจน์) หรือ หุ่นโมอายที่เกาะอีสเตอร์ (‘โมอาย’ รูปปั้นหินปริศนาแห่งเกาะอีสเตอร์ มรดกโลกสุดล้ำค่าที่ยังรอการพิสูจน์ว่าสร้างเพื่อจุดประสงค์ใดกันแน่) คือผลงานการสร้างของผู้คนที่เคยอาศัยอยู่ ณ ดินแดนแห่งนี้!
จากการศึกษา ‘จารึกแห่งนาอะคัล’ (Naacal) อันเป็นจารึกเก่าแก่ที่เขียนเป็นสัญลักษณ์ และอักขระนากา (Naga) ที่ถูกค้นพบในประเทศอินเดีย โดยผู้ที่ทำการศึกษาจารึกก็คือนักโบราณคดีชาวอังกฤษนามว่า ‘เจมส์ เชิร์ชวาร์ด’ (James Churchward) ตามจารึกกล่าวไว้ว่า เมื่อกว่า 50,000 ปีก่อน เคยมีมหาทวีปที่เจริญรุ่งเรืองเหนือดินแดนใดนามว่า ‘เลมูเรีย’ (Lemuria) หรือ ‘อาณาจักรมู’ (Mu) อันมีที่ตั้งอยู่ใจกลางมหาสมุทรแปซิฟิก มหาทวีปแห่งนี้มีดินแดนกว้างใหญ่ไพศาล มีประชากรมากถึง 64 ล้านคน แต่ทว่าเมื่อประมาณ 14,000 ปีที่แล้ว มหาทวีปแห่งนี้กลับต้องพบเจอกับภัยพิบัติครั้งใหญ่เนื่องด้วยการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา ทำให้ทวีปทั้งทวีปต้องอันตรธานจมหายไปใต้มหาสมุทรแปซิฟิก นับตั้งแต่นั้นก็ไม่มีอาณาจักรมูที่เคยยิ่งใหญ่อยู่บนแผนที่โลกอีกเลย
จากคำกล่าวของแผ่นจารึกแห่งนาอะคัลทำให้ ‘เจมส์ เชิร์ชวาร์ด’ สนใจเรื่องอาณาจักรมูเป็นอย่างมาก เจมส์เชื่อว่าหลังจากที่อาณาจักรมูล่มสลาย ดินแดนต่างๆ ได้แยกออกจากกันและกระจัดกระจายออกไปกลายเป็นเกาะน้อยใหญ่ในแถบทวีปออสเตรเลียและหมู่เกาะในทะเลใต้ ทำให้เขาออกเดินทางไปสำรวจยังพื้นที่แถบนั้น และก็ได้พบกับหลักฐานชิ้นสำคัญต่างๆ ที่สามารถยืนยันได้ว่าอาณาจักรมูเคยมีอยู่จริง ไม่ว่าจะเป็นซากของกำแพงเก่าแก่ขนาดมหึมาในเมือง Lily บนเกาะแคโรไลน์ (Caroline Islands) ในมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ ประเทศไมโครนีเซีย ซึ่งขนาดของสิ่งก่อสร้างที่พบมันใหญ่เกินกว่าที่ชาวเกาะจะสร้างขึ้นได้ และที่เกาะมาเรียนา (Mariana Islands) ทางตอนเหนือของมหาสมุทรแปซิฟิก เจมส์พบเสาหินเก่าแก่ที่ทำด้วยหินอ่อนสีแดงจำนวนมาก ซึ่งบนเกาะแห่งนี้ไม่มีบ่อหินอ่อนอยู่บนเกาะเลย นอกจากนั้นที่เกาะฟิจิ ทางตอนใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก เจมส์ยังได้พบเสาหินขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยจารึกที่ไม่มีใครสามารถอ่านออก เป็นต้น

เจมส์ เชิร์ชวาร์ด ยังเชื่ออีกว่า หลังจากที่อาณาจักรมูถึงคราวล่มสลาย มีประชาชนส่วนน้อยที่รอดมาได้ พวกเขาเหล่านั้นได้เริ่มต้นตั้งอารยธรรมขึ้นมาใหม่ และพวกเขาก็ได้จารึกเรื่องราวต่างๆ เอาไว้ เพื่อถ่ายทอดแก่อนุชนรุ่นหลังให้ได้รับทราบว่า

เมื่อครั้งอดีตกาลเคยมีดินแดนอันเจริญรุ่งเรืองนามว่า ‘อาณาจักรมู’ อยู่บนโลกใบนี้ก่อนที่จะถือกำเนิดอารยธรรมต่างๆ ตามมา 
🌅ข้อความ บันทึกที่ถูกแปลจากหินศิลาจารึกเล่าถึงเหตุการณ์ที่อาณาจักร มู ล่มสลายลงเมืองและสิ่งมีชีวิตถูกทำลายไปต่อหน้าต่อตา 

😨เสียงร้องไห้ อันเจ็บปวดทรมานของ ผู้คนมากมายดังไปทั่วบริเวณ   พวกเค้าต่างหาที่หลบภัยตามวิหารและป้อมต่าง ๆ แต่ก็ต้องพบกับเปลวไฟและกลุ่มควัน 
แผ่นดินไหวสั่นสะเทือน แตกแยกไปทั่วทุกหนแห่ง

😰สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีในเครื่องแต่งกายสวยงามตื่นตะหนกต่างร้องให้เป็นเสียงเดียว "มู ช่วยชีวิตพวกเราด้วย" 

ดวงอาทิตย์แสดงตัวที่ขอบฟ้า ภายใต้กลุ่มหมอกที่ปกคลุมผืนแผ่นดิน 

ดวงอาทิตย์ช่างดูราวกับลูกไฟสีแดงดวงใหญ่ ที่กำลังเผาผลาญด้วยความโกรธ 

🌑เมื่อดวงอาทิตย์ได้ลับขอบฟ้าไปแล้ว ความืดมิดจึงได้เข้าครอบงำ จะมีก็เพียงแต่แสงไฟที่มาจากแสงวูบวาบ ของสายฟ้าผ่า อันดังกึกก้อง 

🌎แผ่นดินผืนนี้
ก็ถึงวาระที่จะจมดิ่งลงไปเรื่อย ๆ ลงไปสู่ปากทางแห่งนรกหรือถังแห่งไฟ ขณะที่แผ่นดินที่แหลกสลายจมลงสู่ห้วงเหวแห่งไฟนั้น เปลวไฟได้ ลุกล้อมรอบและหุ้มห่อแผ่นดินไว้ เปลวไฟ กำลังทวงสิทธิ์กับเหยื่อของมัน แผ่น ดิน ทวีปอาณาจักร
มู และประชากรของเธอกว่า 64,000,000 ล้านคน ที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับไฟ มหาวินาศนรก นี้ 
🌋ขณะที่มู ค่อยๆ จม ลงสู่อ่าวแห่งไฟนั้น พลังอำนาจ อีกอย่างหนึ่งก็ได้เข้ามาซ้ำเติม นั่นก็คือ ผืนน้ำกว่า 80,000,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเข้าถาโถมไปทั่วบริเวณ น้ำและไฟพบกันตรงบริเวณที่เคยเป็นศูนย์กลางของแผ่นดิน และที่ตรงนั้นเองที่เกิดการเดือดพล่าน"

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

มิจฉาชีพชายที่สวมรอยเป็นหมอในโรงพยาบาลจนกลายเป็นดาว TikTok

ประวัติความเป็นมาของเครื่องล้างจาน ที่มีมากว่า 125 ปี

ภัยพิบัติแห่งสนามบิน Tenerife สายการบิน: KLM Royal Dutch Airlines และ Pan American World Airways