นักวิทยาศาสตร์เตือนภัยของ เชื้อไวรัสซิกาเสี่ยงกลายพันธุ์จนอาจกลับมาระบาดได้อีกครั้ง..
นักวิทยาศาสตร์เตือนภัยของ เชื้อไวรัสซิกาเสี่ยงกลายพันธุ์จนอาจกลับมาระบาดได้อีกครั้ง..
ไวรัสซิกา มีความเชื่อมโยงกับภาวะไมโครเซบฟาลี หรือ ภาวะศีรษะเล็กผิดปกติในทารกที่แม่ติดเชื้อขณะตั้งครรภ์
ทีมนักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐฯ เตือนว่า มีความเป็นไปได้สูงที่เชื้อไวรัสซิกาอาจกลับมาระบาดอีกครั้ง โดยหากเกิดการกลายพันธุ์แม้แต่ครั้งเดียวก็อาจนำไปสู่การระบาดครั้งใหญ่ได้
ไข้ซิกาเคยก่อให้เกิดภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขโลกมาแล้วเมื่อปี 2016 ส่งผลให้เด็กทารกหลายพันคนเกิดมาโดยมีภาวะสมองพิการ เนื่องจากแม่ติดเชื้อไวรัสก่อโรคชนิดนี้ในระหว่างการตั้งครรภ์
ล่าสุด ทีมนักวิทยาศาสตร์จาก La Jolla Institute for Immunology องค์กรวิจัยด้านภูมิคุ้มกันวิทยาในสหรัฐฯ ออกมาเตือนว่า โลกควรเฝ้าระวังการกลายพันธุ์ของไวรัสชนิดนี้
ผลการศึกษาในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Cell Reports พบหลักฐานบ่งชี้ว่า เชื้อไวรัสซิกามีแนวโน้มที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ซึ่งจะนำไปสู่การอุบัติของเชื้อสายพันธุ์ใหม่ ๆ
งานวิจัยชิ้นนี้พบว่า การกลายพันธุ์ที่เกิดขึ้นจะทำให้เชื้อไวรัสสามารถแพร่ระบาดได้ง่าย แม้แต่ในประเทศที่ประชากรมีภูมิคุ้มกันจากการระบาดครั้งก่อนแล้วก็ตาม
การเปลี่ยนแปลงของไวรัส
ยุงลายเป็นพาหะนำโรคไข้ซิกา
ไวรัสซิกาแพร่ระบาดจากการถูกยุงลายที่ติดเชื้อกัด แม้คนส่วนใหญ่ที่ติดเชื้ออาจเกิดอาการป่วยเพียงเล็กน้อย และไม่มีผลกระทบในระยะยาว แต่หากสตรีได้รับเชื้อในขณะตั้งครรภ์ก็จะทำให้ทารกที่คลอดออกมามีอาการผิดปกติทางระบบประสาท รวมถึงมีภาวะศีรษะเล็ก ที่เรียกว่า "ไมโครเซบฟาลี" (microcephaly) ซึ่งทำให้เด็กมีพัฒนาการผิดปกติ
ในการศึกษาครั้งนี้ ทีมนักวิจัยมุ่งค้นหาว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากไวรัสซิกาแพร่เชื้อไปมาระหว่างยุงกับมนุษย์ โดยใช้เซลล์และหนูในการทดลองในห้องแล็บ
ผลการศึกษาพบว่า เมื่อไวรัสซิกาแพร่ไปมาระหว่างเซลล์ของยุงและหนู จะทำให้ไวรัสเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยทางพันธุกรรม
นี่หมายความว่า ไวรัสซิกามีโอกาสที่จะเกิดการกลายพันธุ์ได้โดยง่าย ซึ่งจะทำให้เชื้อสามารถเติบโตและแพร่ระบาดต่อไปได้ แม้ในสัตว์ที่เคยมีภูมิคุ้มกันบางส่วนมาจากการติดเชื้อโรคที่มียุงลายเป็นพาหะ เช่น ไข้เลือดออก
บรรดาผู้เชี่ยวชาญระบุว่า แม้นี่จะเป็นการตั้งสมมติฐานจากข้อมูลที่ได้จากการทดลองให้ห้องแล็บ แต่ก็มีความน่าสนใจ และเป็นเครื่องเตือนใจว่า นอกจากโควิดแล้ว ยังมีเชื้อไวรัสชนิดอื่น ๆ ที่อาจเป็นภัยคุกคามโลกได้
ไวรัสซิกา
แม้ว่าการระบาดส่วนมากของไวรัสชนิดนี้ เกิดจากยุงที่เป็นพาหะ แต่ก็สามารถติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ได้
เท่าที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตจากไวรัสซิกาจำนวนไม่มาก และมีเพียง 1 ใน 5 ของผู้ติดเชื้อที่แสดงอาการ เช่น มีไข้ ผื่นคัน และปวดข้อ
พบไวรัสซิกาครั้งแรกในลิงที่ประเทศยูกันดา เมื่อปี 1947 ส่วนกรณีผู้ติดเชื้อในมนุษย์รายแรก พบที่ประเทศไนจีเรีย เมื่อปี 1954 จากนั้นเคยมีการแพร่ระบาดมาแล้วในแอฟริกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และหมู่เกาะแปซิฟิก
เริ่มมีรายงานพบผู้เชื้อที่บราซิลในเดือน พ.ค. 2015 และแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วหลังจากนั้น
เนื่องจากไม่มีวิธีรักษา จึงมีทางเลือกเดียวคือการลดความเสี่ยงถูกยุงกัด
นักวิทยาศาสตร์ได้เริ่มการค้นคว้าพัฒนาวัคซีน เพื่อปกป้องสตรีมีครรภ์จากการติดเชื้อชนิดนี้
Zika Virus | On the Frontlines of Brazil's Crisis
ข้อมูลเพิ่มเติม
ไวรัสซิกา (อังกฤษ: Zika virus; ZIKV) เป็นไวรัสในสกุลเฟลวิวิริเด่ (Flaviviridae) วงศ์เฟลวิไวรัส (Flavivirus) โดยผ่านจากยุงลาย (Aedes) อาทิเช่น ยุงลายบ้าน (Aedes aegypti) และ ยุงลายสวน (Aedes albopictus)
โดยตั้งชื่อโรคมาจากป่าซิกาใน ประเทศยูกันดา ซึ่งเป็นที่แพร่โรคซิก้าเป็นครั้งแรกเมื่อปี 1947
สำหรับผู้ติดเชื้อซิก้า เป็นที่รู้จักในชื่อว่า ไข้ซิกา (Zika Fever) ในผู้ติดเชื้อซิกามักจะไม่มีอาการแสดงหรือมีอาการไม่รุนแรง ซึ่งนับแต่คริสต์ทศวรรษ 1950 ทราบว่าเกิดเชื้อในเส้นศูนย์สูตรแคบ ๆ ตั้งแต่ทวีปแอฟริกาถึงทวีปเอเชีย , ปี 2014 ไวรัสซิก้าได้แพร่กระจาย ไปทางทิศตะวันออก
สู่มหาสมุทรแปซิฟิก ไปยัง เฟรนช์โปลินีเซีย จากนั้นแพร่กระจายไปที่ เกาะอีสเตอร์ และในปี 2015 แพร่กระจายไปยังแม็กซิโก , อเมริกากลาง , แคริบเบียน และอเมริกาใต้ โดยเปนที่ระบาดของไวรัสซิก้าที่แพร่กระจายไปทั่วในปัจจุบัน