เรื่องเล่าจากผู้ติดอยู่กลางไฟสงครามในเมืองมาริยูโปล
เรื่องเล่าจากผู้ติดอยู่กลางไฟสงครามในเมืองมาริยูโปล
การบุกรุกกองทหารรัสเซียได้ปิดกั้นเมืองท่าทางยุทธศาสตร์ของยูเครน Mariupol นายกเทศมนตรีของรัสเซียประกาศเมื่อวันที่ 5 มีนาคมว่า "เราไม่มีอำนาจ เราไม่มีน้ำ" เขากล่าวด้วย เขาออกคำร้องขอความช่วยเหลือ
ภาพอาคารในย่านใจกลางเมืองมาริยูโปลเกิดไฟไหม้หลังถูกโจมตี
เช้าวันเสาร์ที่ 5 มี.ค. รัสเซียประกาศหยุดยิงชั่วคราวเพื่อเปิด "ระเบียงมนุษยธรรม" (humanitarian corridor) หรือช่องทางปลอดภัยเพื่อให้พลเรือนอพยพออกจากพื้นที่การสู้รบในหลายเมืองของยูเครน หนึ่งในนั้นคือเมืองท่ามาริยูโปล (Mariupol) ซึ่งคาดว่ามีพลเรือนราว 2 แสนคนที่ติดค้างอยู่ท่ามกลางการระดมทิ้งระเบิดอย่างหนักของกองทัพรัสเซีย
ทางการเมืองมาริยูโปลได้จัดรถบัส 50 คัน ซึ่งชาวบ้านจำนวนมากพากันมุ่งหน้าไปที่ใจกลางเมืองเพื่อขึ้นรถ แต่หลังจากเวลาผ่านไปไม่ถึง 2 ชั่วโมง กองทัพรัสเซียก็เปิดฉากระดมยิงปืนใหญ่ถล่มเขตที่พักอาศัยของพลเรือนอีกครั้ง ทำให้ชาวบ้านที่ติดอยู่ท่ามกลางการโจมตีต้องรีบหาที่หลบภัย
ในตอนนั้น มาริยูโปลได้เข้าสู่วันที่ 5 ของการไม่มีน้ำประปา ไฟฟ้า และระบบสุขาภิบาล ขณะที่อาหารและน้ำดื่มก็หมดลงอย่างรวดเร็ว
แม็กซิม นักพัฒนาด้านไอที วัย 27 ปีซึ่งดูแลปู่และย่าอยู่ที่อะพาร์ตเมนต์ชั้น 6 แห่งหนึ่งในเมือง ได้พูดคุยกับบีบีซีเมื่อคืนวันเสาร์ เพื่อเล่าให้ฟังถึงวันดังกล่าวที่เริ่มต้นขึ้นด้วยความหวัง และจบลงพร้อมกับความสิ้นหวัง ถ้อยคำต่อไปนี้เป็นคำบอกเล่าของเขา
เราพยายามหนีในวันนี้ ในช่วงหยุดยิงที่กำหนดไว้ เราได้ยินมาว่าเราสามารถออกไปข้างนอกได้
ผมรีบจัดกระเป๋า 4 ใบอย่างไวที่สุดสำหรับตัวเองและปู่ย่า มีทั้งเสื้อผ้าหนา ๆ อาหาร และน้ำที่เรามีเหลืออยู่ทั้งหมด แล้วผมก็เอาพวกมันขึ้นรถยนต์ของผม
สภาพคนที่อยู่กันอย่างแออัดให้อะพาร์ตเมนต์ของแม็กซิม
ปู่และย่า อายุ 80 ปีกว่าแล้ว พวกท่านไม่สามารถช่วยอะไรได้ ผมจึงต้องขนทุกอย่างลงบันได 6 เที่ยวไปที่รถยนต์ เพราะลิฟต์ใช้งานไม่ได้
ทว่าตอนที่ผมกำลังจะขับรถออก กลับเริ่มมีการยิงปืนใหญ่อีกครั้ง ผมได้ยินเสียงระเบิดใกล้ ๆ พวกเรา ผมต้องขนของทุกอย่างขึ้นบันไดเพื่อเอากลับไปเก็บไว้ที่ห้องอีกครั้ง จากที่นั่น ผมมองเห็นควันไฟจากในเมือง กลุ่มควันพวยพุ่งออกมาจากทางหลวงที่มุ่งหน้าสู่ซาปอริชเชีย (Zaporizhzhia) ซึ่งเป็นเส้นทางที่ผู้คนใช้หลบหนี
ด้วยเหตุนี้ผมเลยยังอยู่ที่อะพาร์ตเมนต์ของปู่กับย่า และการยิงปืนใหญ่และระเบิดก็ดำเนินไปตลอดทั้งวัน แต่แทนที่จะมีแค่เรา 3 คน ตอนนี้กลับมีคนอยู่ที่นี่เกือบ 20 คน
3 เหตุการณ์สะเทือนใจ สงครามรัสเซีย-ยูเครน ในสัปดาห์ที่สอง
หลายคนเดินทางเข้าไปที่กลางเมืองเพราะได้ยินข่าวเรื่องการหยุดยิง และจะมีรถบัสพาพวกเขาออกจากเมืองเพื่อหนีการยิงปืนใหญ่ถล่มที่นี่ แต่เมื่อเริ่มมีการยิงเกิดขึ้นอีกครั้ง พวกเขาก็ไม่สามารถกลับไปยังที่หลบภัยของพวกเขาได้
ดังนั้นเราจึงเปิดรับผู้คนเข้ามาในอะพาร์ตเมนต์นี้ พวกเขามาจากฝั่งตะวันออกของเมือง และเล่าว่าเมืองแถบนั้นได้ถูกทำลายอย่างย่อยยับ บ้านเรือนทั้งหมดถูกไฟไหม้และไม่มีใครสามารถดับไฟได้ มีศพมากมายนอนเกลื่อนถนน และไม่มีใครเข้าไปเก็บศพเหล่านั้น
ผมรู้จักคนที่เข้ามาหลบภัยที่นี่ 3 คนจากแถวละแวกบ้าน แต่ผมไม่รู้จักคนที่เหลือเลย คนแก่ที่สุดเป็นหญิงอายุ 70 ปีปลาย ๆ ส่วนคนอายุน้อยที่สุดเป็นเด็กน้อยคนหนึ่ง นอกจากนี้เรายังมีแมว 2 ตัว นกแก้ว 1 ตัว และหมาอีก 1 ตัว
เราพยายามจัดที่ทางให้กลุ่มผู้หญิงและเด็กนอนบนพื้น เราไม่มีฟูกที่นอนสำรอง แต่เราใช้พรมสำรอง และผ้าต่าง ๆ ปูพื้นให้พวกเขาได้นอนกัน
น้ำดื่มบรรจุขวดที่เรามีก็หมดแล้ว เราจึงต้องกินน้ำที่ผมรองใส่อ่างอาบน้ำไว้ก่อนที่น้ำประปาจะหยุดไหล ตอนนี้แก๊สเป็นสิ่งเดียวที่ยังใช้ได้ เราจึงใช้มันต้มน้ำในอ่างเพื่อดื่มกิน
วันนี้ตำรวจเปิดร้านค้าต่าง ๆ แล้วบอกให้ผู้คนเข้าไปเอาของให้หมดทุกอย่าง เพราะคนที่นี่ไม่มีอาหารและน้ำดื่มเลย เพื่อนบ้านของเราหยิบลูกอม ปลา และน้ำอัดลมมาได้ส่วนหนึ่ง
การประกาศหยุดยิงเป็นแค่คำโกหก ฝ่ายหนึ่งไม่มีแผนจะหยุดยิงเลย ถ้าพวกเขาบอกว่าจะมีการหยุดยิงพรุ่งนี้ [6 มี.ค.] พวกเราก็จะพยายามออกไป แต่เราไม่รู้เลยว่ามันจะเป็นจริงหรือเปล่า บางทีมันอาจจะดีกว่าที่พวกเราจะหลบภัยในตอนนี้
คุณสามารถโทรหาผมได้ตลอดตราบใดที่โทรศัพท์ผมยังมีแบตเตอรี่อยู่ แต่ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน หลังจากวันนี้ผมไม่มีความหวังอีกแล้ว นับจากนี้เป็นต้นไปเราจะทำทุกอย่างที่ต้องทำในแต่ละวัน เพื่อให้เราและเพื่อนบ้านของเรารอดชีวิต
หลังจากนี้ ผมไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเราเหนื่อยเหลือเกิน แล้วก็มองไม่เห็นทางออกเลย
ผู้ที่หลบภัยในอะพาร์ตเมนต์แห่งนี้มีทั้งเด็กและคนชรา
ความพยายามเปิดระเบียงมนุษยธรรมที่เมืองมาริยูโปลและวอลโนวากาล้มเหลวถึงสองครั้งเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากทหารรัสเซียไม่ยอมหยุดยิงในเวลาที่ได้ตกลงกัน ทำให้ทางการยูเครนต้องล้มเลิกการอพยพประชาชนออกนอกเมืองไป ล่าสุด สื่อของทางการรัสเซียรายงานว่า จะมีการเปิดระเบียงมนุษยธรรม อีกครั้งในนวันที่ 7 มี.ค. ที่เมืองหลายแห่งของยูเครนซึ่งกำลังถูกโจมตีอย่างหนัก เช่น กรุงเคียฟ คาร์คิฟ ซูมี และมาริยูโปล ตั้งแต่เวลา 14.00 น. เป็นต้นไป ตามเวลาในประเทศไทย