ปริศนาคดีฆาตกรรม ที่ไขไม่ได้กว่า 2 ทศวรรษไปสู่การขุดค้นพบ‘ร่างหญิงสาว’ อายุ 1,600 ปี
💥ปริศนาคดีฆาตกรรม ที่ไขไม่ได้กว่า 2 ทศวรรษไปสู่การขุดค้นพบ‘ร่างหญิงสาว’ อายุ 1,600 ปี
ค้นหา
ย้อนไปเมื่อปี ค.ศ.1959 ศิลปินสาวที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวอย่างมาลิกา เด เฟอร์นานเดซ ได้พบรักกับพนักงานสายการบินนามว่า ปีเตอร์ เรน บาร์ด ความรักของทั้งคู่สุกงอมอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตกลงแต่งงานกันอย่างสายฟ้าแลบใน 4 วันต่อมา ทว่าไม่กี่เดือนหลังจากนั้นความรักของเขาทั้งสองกลับพังลงดื้อ ๆ โดยที่ต่างฝ่ายต่างแยกไปมีชีวิตคู่ใหม่
ทุกอย่างดูจะจบลงด้วยดี แต่แล้ว 2 ปีให้หลัง ตำรวจได้รับแจ้งว่ามาลิกาหายตัวไปอย่างลึกลับ ซึ่งนั่นทำให้ปีเตอร์กลายเป็นผู้ต้องสงสัยเบอร์ต้น ๆ จนตำรวจต้องไปตรวจค้นทรัพย์สินรวมทั้งขุดพื้นที่รอบบ้านเพื่อหาหลักฐานที่เกี่ยวโยงกับการหายตัวไปของมาลิกา แต่ก็ไม่พบหลักฐานใด ๆ
ทำให้คดีนี้กลายเป็นปริศนาไปนานกว่า 20 ปี จนกระทั่งในปี ค.ศ.1983 ชาวสวนคนหนึ่งได้พบศรีษะหญิงปริศนาอยู่ในสภาพไม่เน่าเปื่อย บริเวณบึงที่ไม่ไกลจากบ้านของปีเตอร์
แน่นอนว่าด้วยหลักฐานที่ชัดเจนขนาดนี้ ปีเตอร์จึงยอมสารภาพว่า ในช่วงต้นทศวรรษ 60 มาลิกาได้กลับไปหาเขาที่อังกฤษ พร้อมกับรีดไถเงิน โดยข่มขู่ว่าหากไม่ให้จะเปิดโปงเรื่องราวที่เขาเป็นเกย์ (ยุคนั้นการเกย์ถือว่าผิดกฎหมายอาญาในอังกฤษ)
นั่นทำให้เขาโมโหและทำร้ายเธออย่างหนัก ซึ่งกว่าเขาจะรู้ตัวมาลิกาก็แน่นิ่งไปแล้ว ปีเตอร์จึงพยายามทำลายหลักฐานโดยเอาขวานมาตัดแบ่งร่างของมาลิกาเป็นส่วน ๆ ก่อนจะนำไปโยนลงในบึงที่ห่างออกไปไม่มากนักเพื่ออำพรางคดี
ดังนั้น เมื่อมีทั้งหลักฐานและคำสารภาพอย่างชัดเจนคดีนี้ก็ดูจะจบลงง่าย ๆ แต่ทว่า จอร์จ แอบบอต สารวัตรผู้ดูแลคดีกลับเอะใจว่านี่จะใช้ศพของมาลิกาจริงหรือไม่ ? เขาจึงส่งชิ้นส่วนศพที่พบไปตรวจวิเคราะห์เพิ่มเติมที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดด้วยเทคนิคเรดิโอคาร์บอน (Carbon-14) ซึ่งผลที่ได้กลับสร้างความตกใจให้กับทุกคน เพราะศพดังกล่าวนั้นมีอายุมากกว่า 1,600 ปี
สุดท้าย เมื่อผลตรวจออกมาเป็นเช่นนี้ ปีเตอร์จึงพยายามจะกลับคำให้การต่อศาล แต่นั่นก็สายไปแล้ว เพราะคำสารภาพที่เล่าเป็นฉาก ๆ นั้นได้มัดตัวเขาไว้อย่างแน่นหนา จนทำให้ลูกขุนใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมงในการตัดสินว่าปีเตอร์มีความผิดจริงในข้อหาฆาตกรม โดยที่ศพของมาลิกาก็ยังไม่ถูกค้นพบจวบจนถึงปัจจุบัน
ทั้งนี้ ชิ้นส่วนจากศพที่พบนั้น ถูกตั้งชื่อว่า “Lindow Women” ซึ่งมีอายุราว 30-50 ปี ในยุคโรมัน (ประมาณ ค.ศ.400) และอาจตายจากการถูกจับบูชายัญในพิธีกรรมโบราณ โดยสาเหตุที่ศพยังคงอยู่ในสภาพดี
เพราะถูกฝังอยู่ในลุ่มพรุที่ชุ่มน้ำและเต็มไปด้วยการสะสมตัวของ ‘พีทมอส’ ดินชนิดหนึ่งที่เกิดจากการทับถมของสแฟกนัมมอส (Sphagnum moss) มีค่า pH ใกล้เคียงกับน้ำส้มสายชู ซึ่งช่วยเก็บรักษาร่างกายมนุษย์ไม่ให้เน่าเปื่อย เหมือนกับผลไม้ในขวดดองยังไงยังงั้น
Fact – รู้หรือไม่ว่า ในปี 2017 มหาวิทยาลัยเซาท์ฟลอริดา ในสหรัฐฯ ได้เปิดตัว “ฟาร์มศพ” หรือ ห้องปฏิบัติการกลางแจ้งทางนิติมานุษยวิทยา เพื่อศึกษากระบวนการเน่าสลายของศพและผลที่เกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อมโดยรอบศพ
โดยข้อมูลที่ได้จะนำไปต่อยอดในการไขคดีฆาตกรรมและช่วยยกระดับเทคนิคทางนิติวิทยาศาสตร์ในการพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล ซึ่งศพส่วนใหญ่ในฟาร์มนี้ได้รับบริจาคเพื่อการศึกษาจากทั้งเจ้าของร่างกายและครอบครัวของพวกเขานั่นเอง