Door To Hell ประตูแห่งไฟบรรลัยกัลป์




พิกัด 40 องศา 11 ลิปดาเหนือ 58 องศา 24 ลิปดา ตะวันออก
Door To Hell…ประตูแห่งไฟบรรลัยกัลป์
ในอาณาบริเวณอันกว้างใหญ่ของทะเลทรายแห่งเมืองดาเวซ 
ประเทศอุซเบกิสถาน 
…ประเทศที่น้อยคนนักจะเคยไปเยือน เพราะอาจไม่ได้อยู่ในความใฝ่ฝันของนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ และหลายคนนึกไม่ออกว่าประเทศนี้จะมีอะไรให้น่าไปเยี่ยมเยือนนัก ทั้งที่เป็นประเทศเก่าแก่ เคยเป็นส่วนหนึ่งของ  รัสเซียมาก่อน


เมื่อ ปี 367 ก่อนคริสตกาล พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชได้ยึดครองดินแดนของประเทศอุซเบกิสถาน ในภายหลัง ดินแดนนี้ได้ถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิเปอร์เซียในช่วงคริสต์ศตวรรษ ที่ 6 ก่อนจะถูกยึดครองต่อมา โดยจักรวรรดิมองโกลของเจงกีส ข่าน เมื่อ ค.ศ. 1220

ในศตวรรษที่ 13 ขุนศึกชื่อ ติเมอร์ (Timur; Tamerlane) ได้มีอำนาจเหนือมองโกลและตั้งอาณาจักรของตนเองขึ้นที่เมืองซามาร์ คันด์ ซึ่งติเมอร์ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ในการสร้างชาติอุซเบกิสถานในยุคปัจจุบัน พอถึงช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 เมื่อจักรวรรดิรัสเซียได้ขยายอำนาจมาสู่ย่านเอเชียกลาง อุซเบกิสถานจึงกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต มีชื่อว่า สาธารณรัฐ สังคมนิยมโซเวียตอุซเบกิสถาน ก่อนจะได้รับอิสรภาพหลังการล่มสลายของโซเวียตเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ค.ศ. 1991

นั่นเป็นที่มาที่ไปคร่าวๆ ของประเทศนี้ อุซเบกิสถานเป็นประเทศที่มีทรัพยากร ธรรมชาติซึ่งเป็นที่ต้องการของโลก ดังนั้น ก๊าซธรรมชาติ ปิโตรเลียม ถ่านหิน โลหะ ทอง และเงิน จึงเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของประเทศนี้ ส่วนเมืองดาเวซที่มาของสถานที่ชื่อน่ากลัวว่า ‘ประตูสู่นรก’ นี้ เป็นเมืองเล็กๆ อยู่ท่ามกลางทะเลทรายคารา คัม อันร้อนระอุ พิกัดภูมิศาสตร์บอกเราว่า เมืองดาเวซ ตั้งอยู่ที่ 40 องศา 11 ลิปดาเหนือ 58 องศา 24 ลิปดา ตะวันออก 

ไม่ไกลจากประเทศเรา  มากนัก ชื่อ Darvaz ความจริงที่ถูกเขียนว่า Derweze (เป็นภาษาเติร์กเมนิสถาน บางทีก็เรียกว่า Darvaza) ที่นี่เป็นหมู่บ้านของชาวเติร์กเมนิสถาน มีคนอยู่อาศัยไม่มากนักประมาณ 350 ครัวเรือนส่วนใหญ่พื้นเพเป็นชาว Teke  ใช้ชีวิตแบบกึ่งเร่ร่อนไปตามทะเลทราย เมืองเล็กๆ นี้อยู่ทางตอนเหนือของอาชกาบัช 260 กิโลเมตร

ส่วนสถานที่ซึ่งถูกขนาน นาม ว่า ประตูสู่นรก (Door to Hell) ดูๆ ไปก็เหมือนภาพของขุมนรกในจินตนาการกระมัง ชาวบ้านบ้างก็เรียกว่าถ้ำ แต่ดูแล้วน่าจะเป็นหลุมซะมากกว่า การค้นพบสถานที่แห่งนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 1970 ได้มีนักธรณีวิทยามาขุดเจาะหาก๊าซธรรมชาติ

จู่ๆ ระหว่างการขุดเจาะ พวกเขาก็ได้พบกับหลุมขนาดใหญ่ที่อยู่ใต้พื้นดิน มันไม่ใช่แค่ใหญ่ธรรมดา แต่ใหญ่มากซะจนดูดเอาเครื่องไม้เครื่องมือในการขุดเจาะของพวกเขาไปจนหมด คิดดูแล้วกันว่าแท่นขุดเจาะนี่ก็ไม่ใช่เล็กๆ แต่สามารถตกลงไปอย่างง่ายดายในหลุมยักษ์นี้

พอเครื่องมือหากินหายไป ในหลุมแล้ว นักธรณีวิทยาเหล่านั้นก็เลยไม่มีใครใจกล้าพอจะลงไปในหลุม เนื่องจากกลิ่นแก๊สพิษตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ ฟุ้งกระจายไปทั่ว…ขืนลงไปก็เท่ากับฆ่าตัวตายชัดๆ และด้วยความหวังดีกลัวว่าแก๊สพิษจะไปทำร้ายชาวบ้านคนอื่นๆ ที่ผ่านมาแถวนี้  ดังนั้นพวกเขาจึงจุดไฟเพื่อที่จะเผาไหม้แก๊สให้หมดไป
(ด้วยคิดว่าไม่กี่วัน มันก็คงดับไปเอง) 

แต่แม่เจ้า!! นี่วันเวลาก็ผ่านล่วงเลยมา 40 ปีเต็มแล้ว ไฟที่คุณน้านักธรณีวิทยาจุดไปนั่นยังไม่เคยมอดดับลงเลยแม้แต่วินาที เดียว….โอ! ไม่รู้ปานฉะนี้คุณๆ นักธรณีวิทยาชุดสร้างประตูสู่นรกกลุ่มนี้ยังจะมีชีวิตอยู่กันหรือไม่

ถ้า พวกเขายังอยู่จะคิดอย่างไรกับผลงานอันลือลั่นที่ติดอันดับหนึ่งใน 20 กว่าสถานที่อันตรายที่สุดของโลก ภูมิใจไหมเนี่ย

….ดูจากภาพคุณผู้อ่านคงพอจินตนาการสถานที่จริง และพลังความร้อนอันมหาศาลได้กระมัง ดูแล้วไฟนรกขุมนี้ไม่มีทีท่าว่าจะดับลงง่ายๆ เลย ตอนแรกความกว้างของหลุมนี้วัดเส้นผ่าศูนย์กลางได้ประมาณ 50-100 เมตร แต่ ณ วันนี้ด้วยสภาพทางธรณีวิทยา  ก็ทำให้ปากหลุมถ่างกว้างออกไปอีก…บรื๋อออ เห็นแล้วขนลุกยังไงก็ไม่รู้ ถ้าตกลงไปคงเกรียมยิ่งกว่าไก่ย่างห้าดาวเป็นแน่แท้

แต่เรื่องที่สำคัญ กว่าก็คือ เจ้าก๊าซที่ถูกเผาไหม้อยู่ตลอดเวลานั้น นักวิทยาศาสตร์  เกรงว่าน่าจะเป็นก๊าซมีเทนที่ไม่ค่อยเป็นมิตรกับสิ่ง แวดล้อมโลกเท่าไหร่นัก ก๊าซนี้เมื่อมันลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศก็จะกลายเป็นก๊าซเรือนกระจกที่มี ศักยภาพที่สามารถเพิ่มอุณหภูมิโลกที่กำลังร้อนตับแลบอยู่แล้ว ให้ร้อนยิ่งขึ้นไปได้อีก

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

มิจฉาชีพชายที่สวมรอยเป็นหมอในโรงพยาบาลจนกลายเป็นดาว TikTok

ประวัติความเป็นมาของเครื่องล้างจาน ที่มีมากว่า 125 ปี

ภัยพิบัติแห่งสนามบิน Tenerife สายการบิน: KLM Royal Dutch Airlines และ Pan American World Airways