โคราชพบฟอสซิลปลามีโหนกยุคจูราสสิก เจ้าพ่อน้ำจืด 150ล้านปีก่อน
นักวิจัยค้นพบฟอสซิลปลายุคจูราสสิกพันธุ์ใหม่ของโลก อายุ 150 ล้านปี ผู้เชี่ยวชาญระบุเป็นปลากระดูกแข็งโบราณสกุลใหม่และชนิดใหม่ของโลก มีโหนกด้วย ตั้งชื่อว่า โคราชอิกธิส จิบบัส หลังต้องรอนานถึง 17 ปี...
ที่สถาบันวิจัยไม้กลายเป็นหิน มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา บ้านโกรกเดือนห้า ต.สุรนารี อ.เมืองนครราชสีมา นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา พร้อมด้วยนายสุเมธ อำภรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดนครราชสีมา รศ.ดร.วิเชียร ฝอยพิกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ดร.อุทุมพร ดีศรี นักวิจัยมหาวิทยาลัยมหาสารคาม และ ผศ.ดร.ประเทือง จินตสกุล ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยไม้กลายเป็นหินฯ ได้ร่วมกันแถลงข่าวการค้นพบ ฟอสซิลปลายุคจูราสสิกพันธุ์ใหม่ของโลก
ชื่อว่า "โคราชอิกธิส จิบบัส" โดยค้นพบฟอสซิลจากแหล่งบ้านโนนสาวเอ้ ตำบลวังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา เป็นปลาน้ำจืดสกุลใหม่ และชนิดใหม่ของโลก อยู่ในยุคจูราสสิกตอนปลายถึงครีเทเชียสตอนต้น หรืออายุประมาณ 150 ล้านปีก่อน ปลาชนิดนี้มีลักษณะเด่นคือ บริเวณหลังส่วนคอมีลักษณะเป็นโหนกชัดเจน
ทั้งนี้ ที่มาของฟอสซิลปลาพันธุ์ใหม่ของโลก พบอยู่ในก้อนหินที่แตกออกเป็น 2 ซีก จากการขุดแหล่งน้ำใกล้น้ำตกถ้ำขุนโจร พื้นที่ของหมู่บ้านโนนสาวเอ้ ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว ค้นพบเมื่อประมาณปี 2540 โดยนายวิโรจน์ ปิ่นปก
ซึ่งเป็นชาวบ้านในพื้นที่ จนกระทั่งต่อมาในปี 2557 นักวิจัยชาวไทย และผู้เชี่ยวชาญฟอสซิลปลาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จึงได้ดำเนินการวิจัย จนถึงปัจจุบันจึงค้นพบว่าฟอสซิลดังกล่าวเป็นฟอสซิลปลาพันธุ์ใหม่ของโลก
สำหรับฟอสซิลปลาที่ค้นพบชนิดนี้ เป็นปลากระดูกแข็งโบราณสกุลใหม่ และชนิดใหม่ของโลก ถูกตั้งชื่อว่า โคราชอิกธิส จิบบัส (Khoratichthys gibbus โดย khorat=โคราช, ichthys=ปลากระดูกแข็ง, gibbus=โหนก) มีลักษณะขนาดรูปร่างยาว 36 เซนติเมตร กว้าง 12 เซนติเมตร และหนา 8 เซนติเมตร บริเวณคอแสดงลักษณะเป็นโหนกชัดเจน จนเป็นที่มาของชื่อ จิบบัส ลำตัวปกคลุมด้วยเกล็ดรูปสี่เหลี่ยม และมีเกล็ดตรงสันกลางหลังที่ยาวแหลมคล้ายหนาม มีกระดูกปิดส่วนแก้ม กระดูกที่ล้อมรอบเบ้าตามีน้อยชิ้น และกระดูกปิดเหงือกมีรูปร่างเป็นทรงสี่เหลี่ยม
ผศ.ดร.ประเทือง จินตสกุล ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยไม้กลายเป็นหินฯ กล่าวถึงที่มาของฟอสซิลปลาว่า พบในก้อนหินที่แตกออกเป็น 2 ซีก จากการขุดแหล่งน้ำใกล้น้ำตกถ้ำขุนโจร ในเขตคุ้มบ้านท่าเรือของหมู่บ้านโนนสาวเอ้ ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา และชาวบ้าน นำโดย นายวิโรจน์ ปิ่นปก ได้นำก้อนหิน 2 ก้อนดังกล่าวไปวางไว้ที่ศาลเจ้าพ่อน้ำตกถ้ำขุนโจรใกล้น้ำตก ก่อนแจ้งให้หัวหน้าภาควิชาภูมิศาสตร์ สถาบันราชภัฏนครราชสีมา ขณะนั้น คณาจารย์ในภาควิชา จึงเดินทางไปตรวจสอบ และพบกับนายวิโรจน์ ปิ่นปก เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 จึงได้ยินการบอกเล่าถึงที่มาดังกล่าวแล้วข้างต้น และได้อนุเคราะห์มอบซากปลาให้กับมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมานำไปอนุรักษ์ ศึกษาวิจัย เพื่อประโยชน์ในทางวิชาการสืบไป แต่ด้วยความขาดแคลนนักวิจัยฟอสซิลปลา เวลาจึงล่วงเลยมาถึง 17 ปี จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ. 2557 จึงได้เริ่มมีการศึกษา โดย ดร.อุทุมพร ดีศรี, ผศ.ดร.ประเทือง จินตสกุล และ ดร.ลิโอเนล คาวิน ผู้เชี่ยวชาญฟอสซิลปลาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารชั้นนำของโลกด้านบรรพชีวินวิทยา คือ Journal of Vertebrate Paleontology เมื่อปลายปี 2559
ด้าน ดร.อุทุมพร ดีศรี เปิดเผยว่า ปลาชนิดนี้เป็นปลากระดูกแข็งโบราณสกุลใหม่และชนิดใหม่ของโลก บริเวณคอแสดงลักษณะเป็นโหนกชัดเจน จนเป็นที่มาของชื่อ "จิบบัส" ลำตัวปกคลุมด้วยเกล็ดรูปสี่เหลี่ยมและมีเกล็ดตรงสันกลางหลังที่ยาวแหลมคล้ายหนาม มีกระดูกปิดส่วนแก้ม กระดูกที่ล้อมรอบเบ้าตา มีน้อยชิ้น และกระดูกปิดเหงือกมีรูปร่างเป็นทรงสี่เหลี่ยม ในการศึกษาถึงความสัมพันธ์ทางวิวัฒนาการของปลากระดูกแข็งที่มีก้านครีบในกลุ่มจิงกลีโมเดียน (กลุ่มปลามีเกล็ดสี่เหลี่ยม) ทั้งหมด 25 สกุล พบว่า ปลาสกุลโคราชอิกธิส แสดงลักษณะพื้นฐานที่สุดของปลาในอันดับเลปิซอสติฟอร์ม (Lepisosteiformes) หรืออันดับอัลลิเกเตอร์การ์ (ปลาปากจระเข้) นั่นแสดงว่าเป็นพวกปลากลุ่มแรกๆ สุด หรือมีวิวัฒนาการต่ำสุดในอันดับปลาดังกล่าว
"ปลาโคราชอิกธิส ยังเป็นหลักฐานที่แสดงถึงความหลากหลายของปลาจิง
กลีโมเดียน ที่พบในหมวดหินภูกระดึงของไทยอีกด้วย และจากความหลากชนิดของปลาจิงกลีโมเดียนดังกล่าวซึ่งพบในสภาพแวดล้อมน้ำจืดของช่วงเวลาตั้งแต่กลางยุคจูราสสิกถึงต้นยุคครีเทเชียสของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้
แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการครอบครองพื้นที่แหล่งน้ำจืดของปลาเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี".
กลีโมเดียน ที่พบในหมวดหินภูกระดึงของไทยอีกด้วย และจากความหลากชนิดของปลาจิงกลีโมเดียนดังกล่าวซึ่งพบในสภาพแวดล้อมน้ำจืดของช่วงเวลาตั้งแต่กลางยุคจูราสสิกถึงต้นยุคครีเทเชียสของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้
แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการครอบครองพื้นที่แหล่งน้ำจืดของปลาเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี".