โรงเก็บน้ำแข็งใต้ดินที่ถูกลืม


โรงเก็บน้ำแข็งใต้ดินที่ถูกลืม
เมื่อพูดถึงประเทศอังกฤษ เชื่อเหลือเกินว่าคนส่วนใหญ่จะคิดถึงประเทศเมืองหนาว แถมบางทีก็มีหิมะขาวโปรยปรายลงมาให้มันดูเย็นยะเยือกขึ้นไปอีก ทำเอาคนกลัวหนาวหลายคนไม่กล้าไปเยือน

แต่เชื่อไหมว่า ประเทศที่เราคิดว่าเป็นประนาวอย่างอังกฤษ ก็ยังต้องนำเข้า “น้ำแข็ง”
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18–19 ก่อนที่จะเกิดอุตสาหกรรมการผลิตน้ำแข็งได้นั้น เหล่าประชาชนคนธรรมดาก็ไม่ค่อยจะสนใจเรื่องน้ำแข็งสักเท่าไหร่หรอกค่ะ เพราะในยุโรปนั้น อากาศที่เย็นอยู่แล้วทำให้น้ำแข็งไม่ได้เป็นสิ่งจำเป็นสักเท่าไหร่ แม้ว่าบางครั้งในหน้าร้อนจะร้อน เหลือทนอยู่เหมือนกันก็เถอะ

แต่อย่างที่รู้กันอยู่ว่า ชาวมหานครลอนดอนที่อู้ฟู่ หรือจะเรียกได้ว่าเหล่าไฮโซในยุคกระโน้นมีความเป็นอยู่ที่ฟู่ฟ่าเหลือเกิน ทำให้น้ำแข็งที่ไม่น่าจะจำเป็น ก็กลายเป็นสิ่งที่ขายได้ในหมู่คนรวย ว่าแต่ว่าในสมัยนั้นยังไม่มีการผลิตตู้เย็นขึ้นมานี่นา แล้วคนขายน้ำแข็งจะเอาน้ำแข็งไปเก็บไว้ที่ไหน รวมถึงประเด็นที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งว่า แล้วเขาเอาน้ำแข็งมาได้ยังไง วันนี้คอลัมน์ไทยรัฐซันเดย์ สเปเชียล โดยทีมงานนิตยสารต่วย’ตูนจะพาไปชมกัน
สวนเครสเซนท์ ในลอนดอน.

อันที่จริงเหล่านักประวัติศาสตร์เชื่อว่า เคยมีการสร้างโรงเก็บน้ำแข็งใต้ดินในมหานครลอนดอน เป็นจำนวนมาก และเคยมีการค้นพบมาแล้วบ้าง ส่วนโรงเก็บน้ำแข็งที่เรากำลังจะกล่าวถึงกันในตอนนี้ โผล่ขึ้นมาจากหน้าประวัติศาสตร์ในตอนที่เหล่าคนงานกำลังขุดดินเพื่อดำเนินการโครงการสวนเครสเซนท์ตะวันตก (Park Crescent West) หรือที่เรียกกันว่าโครงการรีเจนท์ เครสเซนท์ (Regent’s Crescent) อันเป็นการบูรณะกลุ่ม อาคารเก่าแก่ของลอนดอนในเขตมารีโบน (Marylebone) แล้ว ได้พบ “หลุม” ที่คาดว่าเก่าแก่เข้าหลุมหนึ่ง ก็เลยต้องไปแจ้งให้พิพิธภัณฑ์โบราณคดีแห่งลอนดอน (Museum of London Archaeology, Mola) เข้ามาตรวจสอบ

ทีนี้แหละค่ะ เป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาเลย เพราะแม้ปากหลุมที่เจอจะเล็กนิดเดียว แถมตอนที่ค้นพบนั้น บริเวณทางเข้าโรงเก็บน้ำแข็งแห่งนี้ยังเต็มไปด้วย ร่องรอยของสงคราม มันถูกปกปิดด้วยซากปรักหักพังของอาคารที่เคยถูกระเบิดถล่มเละในช่วงสงคราม ทำให้คณะขุดค้นต้องใช้เวลา นานตั้ง 3 เดือน กว่าจะเผยโฉมที่แท้จริงของโรงเก็บน้ำแข็งนี้ออกมาได้ และประกาศว่า นี่แหละเป็นโรงเก็บ น้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดตั้งแต่เคยค้นพบมาเลยทีเดียว

ทางเข้าโรงเก็บน้ำแข็งใต้ดินที่สวนอีกแห่งในอังกฤษ.
โรงเก็บน้ำแข็งแห่งนี้ สร้างด้วยอิฐแดงอันคงทน เป็นรูปไข่ กว้าง 7.5 เมตร ลึกตั้ง 9.5 เมตร และแม้ว่าบ้านเรือนที่อยู่ด้านบนของมันจะถูกระเบิดพังไปหมดแล้ว แต่โรงเก็บน้ำแข็งนี้ก็ยังมีสภาพสมบูรณ์ ไม่มีอะไรเสียหายเลยแม้แต่น้อย

อย่างไรก็ตาม ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่า โรงเก็บ น้ำแข็งขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยพบในลอนดอนนี้เป็นของใคร แต่นักโบราณคดีคาดว่า แซมมวล แดช (Samuel Dash) นักธุรกิจผู้ซึ่งอยู่ในตระกูลของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเบียร์ อาจจะเป็นผู้ริเริ่มทำให้เกิดการสร้างโรงเก็บน้ำแข็งแห่งนี้ขึ้นในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษที่ 1780 แต่ในตอนนั้นอุตสาหกรรมน้ำแข็งยังไม่ได้เฟื่องฟูนัก เพราะในยุคกระโน้น น้ำแข็งจะถูกเก็บมาจากคลอง หรือทะเลสาบในช่วงฤดูหนาว แล้วนำมาเก็บไว้รอขาย แต่บางครั้งแหล่งน้ำในอังกฤษเองก็ไม่สะอาดนัก จะไปขายเศรษฐีก็กระไรอยู่ รวมถึงปริมาณน้ำแข็งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในช่วงฤดูหนาวก็มีจำนวนไม่แน่นอน ไม่รู้ว่าจะเพียงพอกับความต้องการของลูกค้าหรือไม่ ก็เลยต้องรอไปถึงช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1820 ซึ่งวิลเลียม เลฟท์วิช (William Leftwich) พ่อค้าผู้มองการณ์ไกลเกิดคิดได้เป็นคนแรกว่า ถ้าน้ำแข็งในประเทศตอบสนองความต้องการไม่ได้ ก็ไปขนมาจากต่างประเทศ

การขนส่งน้ำแข็งจากต่างแดนเมื่อร้อยกว่าปีก่อน.
อันว่าวิลเลียม เลฟท์วิชนี้ มีชื่อเสียงในฐานะผู้บุกเบิกการค้าน้ำแข็ง รวมถึงเป็นผู้ค้าขนมหวานด้วย เขาจำหน่ายน้ำแข็งให้กลุ่มชนชั้นสูงในลอนดอน ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ก่อนที่จะมีการผลิตน้ำแข็งแบบอุตสาหกรรมขายนั้น น้ำแข็งก็เป็นที่นิยมในหมู่ไฮโซสมัยนั้นแล้ว โดยน้ำแข็งถูกใช้ในงานเลี้ยงอันหรูหราต่างๆที่นิยมเสิร์ฟของหวานอันรักษาความเย็นมาด้วยน้ำแข็ง

ไม่เพียงเท่านั้น น้ำแข็งยังมีความจำเป็นต่อบรรดาร้านอาหาร ผู้ค้าอาหาร และสถาบันการแพทย์ ต่างๆด้วย และในปี ค.ศ.1822 ซึ่งเป็นปีที่อากาศของอังกฤษไม่หนาวมากนัก คาดว่าจะมีน้ำแข็งน้อย วิลเลียม เลฟท์วิช ที่ไม่อยากพลาดโอกาสทำเงินจากการค้าน้ำแข็งได้ตัดสินใจเช่าเรือเดินทะเล ให้เดินทางไป-กลับด้วยระยะทางตั้ง 2,000 กิโลเมตร จากอังกฤษไปนอร์เวย์ เพื่อซื้อน้ำแข็ง 300 ตันมาจากทะเลสาบที่สะอาดใสแจ๋วปานแก้วคริสตัลกลับมาลอนดอน โดยลำเลียงสินค้าอันมีค่านี้ผ่านคลองรีเจนท์เข้ามาเก็บในโรงน้ำแข็ง ก่อนจะส่งขายให้ลูกค้าทั้งหลายของเขา และคาดว่าโรงเก็บน้ำแข็งขนาดมหึมาที่ค้นพบในคราวนี้ ก็น่าจะเป็นหนึ่งในโรงเก็บที่วิลเลียม เลฟท์วิชเคยใช้มาก่อน ก็แหม ในตอนนั้นไม่มีตู้เย็นให้แช่นี่นา

ทางเข้าโรงเก็บน้ำแข็งในสกอตแลนด์.
อันที่จริง ก่อนหน้าวิลเลียม เลฟท์วิชจะทำแบบนี้ ก็เคยมีพ่อค้าคนอื่นที่พยายามจะทำการค้าด้วยการไปซื้อน้ำแข็งจากประเทศแถบสแกนดิเนเวียอย่างนี้มาบ้างแล้ว แต่ล้วนไม่ประสบความสำเร็จ เพราะมีอุปสรรคมากมาย เช่น น้ำแข็งเกิดสูญหายไปในทะเล หรือไม่ก็บุกบ่าฝ่าคลื่นลมมาถึงอังกฤษแล้ว แต่น้ำแข็งอันมีค่ากลับต้องละลายไปในระหว่างที่รอขั้นตอนกระบวนการทางศุลกากรที่ยังไม่มีความแน่นอนว่าจะเก็บภาษีน้ำแข็งกันยังไง แต่วิลเลียม เลฟท์วิช เป็นพ่อค้าหัวใสคนแรกที่วิ่งเต้นดำเนินการทุกขั้นตอนจนผ่านฉลุย กลายเป็นชายที่ปั้นน้ำเป็นตัวขายได้สำเร็จอย่างเป็นเรื่องเป็นราวจริงจัง ก็ด้วยน้ำแข็งจากต่างแดนกับโรงเก็บน้ำแข็งใต้ดิน
แดนนี แฮร์ริสัน (Danny Harrison) นักโบราณคดีอาวุโสของพิพิธภัณฑ์โบราณคดีแห่งลอนดอน บอกว่า น้ำแข็งคงถูกหย่อนลงมาจากปากหลุมด้านบน แล้วเก็บเอาไว้ก่อน พอมีลูกค้าสั่ง ก็ให้คนงานลงมาตัดน้ำแข็งเป็นก้อนขนาดตามที่ต้องการ แล้วขนขึ้นรถม้า เอาฟางปิดทับไว้เพื่อรักษาอุณหภูมิก่อนไปส่งให้ถึงที่ และนอกจากลูกค้ากลุ่มไฮโซที่ใช้น้ำแข็งในการตบแต่ง หรือทำให้อาหารเย็นอร่อยสดชื่นแล้ว น้ำแข็งยังถูกใช้ในการแพทย์ด้วย เช่น หมอฟันที่ต้องการใช้น้ำแข็งในการทำให้คนไข้เกิดอาการชาระหว่างทำฟัน คาดว่าเหล่าทันตแพทย์ในย่านนั้น น่าจะเคยได้น้ำแข็งสะอาดจากโรงเก็บน้ำแข็งอันโอฬารแห่งนี้ไปใช้กันด้วย

คนงานตัดน้ำแข็ง.
ด้านเดวิด โซรา-เพียว (David Sora-pure) คณะทำงานของพิพิธภัณฑ์โบราณคดีแห่งลอนดอนอีกคนหนึ่งบอกว่า เมื่อได้มาอยู่ภายในโรงเก็บน้ำแข็งที่เป็นรูปโค้งสวยงามนี้ ทำให้เขาอดตื่นเต้นไม่ได้ เมื่อคิดว่า ที่นี่เคยเต็มไปด้วยก้อนน้ำแข็งเยอะเป็นตันๆ น้ำแข็งที่เดินทางไกลมาจากทะเลเหนือ ผ่านคลองรีเจนท์มาถึงกลางลอนดอน และโครงสร้างโรงเก็บน้ำแข็งที่ค้นพบนี้ ก็ยังแสดงให้เห็นว่า เกิดจากความพยายามอย่างสูงมากของคนในยุคนั้น ที่ให้ความสำคัญในการ บริการชนชั้นสูงที่ต้องการอาหารที่จำเป็นต้องใช้น้ำแข็ง และแม้จะเป็นที่รู้กันว่า ในอดีตที่ผ่านมาต้องมีโรงเก็บน้ำแข็งใต้ดิน ในกรุงลอนดอนแน่นอน แต่ก็ยังไม่เคยค้นพบโรงเก็บน้ำแข็งที่โดดเด่นเท่านี้มาก่อน

ในทีแรกที่คณะขุดค้นได้เจอทางเข้าแล้ว ก็ยัง นึกไม่ถึงว่าด้านในจะใหญ่ โตมโหฬารได้ขนาดนี้ แถมยังก่อสร้างอย่างมั่นคง แข็งแรง ขนาดที่ว่าลึกลงไปใต้มันอีกไม่ถึง 10 เมตร มีรถไฟฟ้าใต้ดินสายจูบิลี ของมหานครลอนดอน วิ่งผ่านไปมาทุกวัน ก็ไม่กระเทือนถึงโครงสร้างของโรงเก็บน้ำแข็งนี้เลย และโรงเก็บน้ำแข็งเก่าแก่ที่ค้นพบ ยังเป็นการเชื่อมโยงไปถึงธุรกิจการค้าที่เคยรุ่งโรจน์ แต่ถูกลืมไปแล้ว ทั้งๆที่ช่วงเวลาหนึ่งในอดีต อาจจะเคยมีโรงเก็บน้ำแข็งแบบนี้เป็นพันๆแห่งทั่วมหานครลอนดอน แต่ส่วนใหญ่คงเป็นเพียงโรงเก็บน้ำแข็งขนาดเล็ก มีเพียงที่นี่ที่ใหญ่โตมาก


ตัวอย่างแปลนโรงเก็บน้ำแข็งใต้ดิน.
“สิ่งที่ทำให้โรงเก็บ น้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ค้นพบนี้มีความสำคัญ เพราะนี่คือการเชื่อมช่วงเวลาที่น้ำแข็งเป็นของบริโภคเฉพาะคนรวยเท่านั้นผ่านมาถึงยุคนี้ ที่ใครๆก็หาน้ำแข็งได้ ซึ่งเริ่มในทศวรรษที่ 1830–1840 นั่นหมายถึงว่า โรงน้ำแข็งพวกนี้เฟื่องฟูได้เพียงประมาณ 50 ปี” โซราเพียวกล่าวและเมื่อพิพิธภัณฑ์โบราณคดีแห่งลอนดอนได้เข้ามาเป็นผู้ดูแลการขุดค้นนี้แล้ว ก็คาดว่าอีกไม่ช้าจะสามารถปรับปรุงสถานที่เพื่อเปิดให้สาธารณชนเข้าชมโรงเก็บน้ำแข็งเก่าแก่นี้ได้ เพื่อให้ผู้คนในยุคปัจจุบันได้เห็นส่วนหนึ่งของวิถีการค้าในอดีต ที่ไม่หลงเหลือมาในปัจจุบันแล้วหลังจากที่เกิดสิ่งที่เรียกว่าตู้เย็น และเครื่องทำน้ำแข็ง

ยังไม่แน่ชัดว่า เมื่อไหร่ที่โรงเก็บน้ำแข็งแห่งนี้จะได้รับการเปิดให้สาธารณชนเข้าชมได้อย่างเป็นทางการ แต่ถ้าหากเปิด ก็คงจะเป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ในโครงการบูรณะรีเจนท์ เครสเซนท์ ซึ่งเป็นกลุ่มอาคารเก่าแก่อันโดดเด่นของลอนดอน ที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1819 กลุ่มอาคารนี้ออกแบบโดยจอห์น แนช (John Nash) สถาปนิกชื่อดังแห่งยุค ซึ่งเป็นผู้มีส่วนร่วมสำคัญในการออกแบบพระราชวังบั๊กกิ้งแฮมด้วย เรียกว่า หากเปิดให้เข้าชมก็คงได้เห็นกันทั้งส่วนหนึ่งของสถาปัตยกรรมฝีมือจอห์น แนช และโรงเก็บน้ำแข็งใหญ่แห่งนี้ ที่นักโบราณคดีอังกฤษบอกว่า คงต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ในการศึกษารายละเอียดอันมีมากมายภายในหลุมรูปไข่อันแข็งแรงนี้แล้วใครว่าปั้นน้ำเป็นตัวไม่ดีกันเล่า.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ภาพถ่ายปริศนางูไททันโอโบอา

"นายลี กวน ยู"- ประกาศชัดในพินัยกรรมให้ “รื้อบ้าน”มรดกตกทอดที่เขาได้รับมาจากพ่อ-แม่มาอยู่อาศัย โดยให้รื้อทิ้งไปเลยหลังจากเขาตายเพื่อไม่ให้บ้านหลังนั้น”ขัดขวางความเจริญ” ของประเทศสิงคโปร์

ปริศนาลึกลับ ของ กลไกการล่องหน ไปในความมืดของปลาประเภท SUPERBLACK ในท้องทะเลลึก ที่ ยังหาคำตอบไม่ได้