ฟันปลอม ยุคโบราณ
ฟันปลอม ยุคโบราณ
ฟันเป็นอวัยวะที่มนุษย์จำเป็นต้องใช้งานทุกวัน ถ้าปราศจากฟันเสียแล้วการกินอาหารก็ไม่เอร็ดอร่อย ดังนั้น เมื่อฟันหักหรือหลุดร่วงไปก่อนกาลอันควร มนุษย์ก็ต้องขวนขวายหาฟันใหม่มาใส่แทน
เรียกว่า “ฟันปลอม (false teeth)”
เรียกว่า “ฟันปลอม (false teeth)”
นอกจากใช้ฟันกินอาหารแล้ว ฟันยังมีส่วนช่วยให้ใบหน้าอิ่มเอิบ การเหลือแต่เหงือกจะทำให้ใบหน้าซูบตอบไม่น่าทัศนา ด้วยเหตุนี้ในอดีตกาลครั้งสมัยทันตกรรมยังไม่เจริญก้าวหน้า เมื่อควีนเอลิซาเบธที่ 1 (Queen Elisabeth I) ทรงสูญเสียพระทนต์ซี่หน้า พระนางจึงทรงเอาชิ้นผ้าเล็กๆหนุนใส่ไว้หลังริมฝีปากเพื่อเป็นการเติมเต็ม หรือในศตวรรษที่ 19 ผู้คนชาวอังกฤษที่ใส่ฟันปลอม (ไม่ค่อยสนิทแน่นกระชับ) ก็มักจะกินอาหารภายในห้องนอน ก่อนจะออกไปร่วมงานสังสรรค์ เพราะหากทำฟันปลอมร่วงหล่นในระหว่างดินเนอร์ ก็จะทำให้อับอายขายหน้าคนที่ร่วมโต๊ะ ฟันปลอมจึงเป็นอวัยวะเทียมที่มีความหมายต่อมนุษย์มาก
ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์แล้ว ฟันปลอมเริ่มมีใช้กันตั้งแต่ 700 ปีก่อน ค.ศ. โดยชนอีทรัสกัน (Etruscan) ซึ่งปกครองดินแดนอิตาลีก่อนหน้าโรมัน มีการพบกะโหลกของชนชาตินี้ที่ในปากมีฟันปลอมที่ทำจากกระดูกและเขี้ยวสัตว์เชื่อมติดกับฟันแท้ด้วยทองคำ หากทว่าสิ่งประดิษฐ์ที่ชนอีทรัสกันคิดค้นขึ้นมานี้กลับถูกทอดทิ้งไปในอีกหลายร้อยปีต่อมา ทั้งที่มนุษย์มีปัญหาเกี่ยวกับฟันมาโดยตลอด เมื่อยามปวดฟันก็มักกล่าวกันว่าเป็นเพราะมีตัวหนอนชอนไชอยู่ในเหงือก ซ้ำยังนิยมเอามาเห็นเป็นเรื่องสนุก
โดยตัวตลกในละครจะเอาวิธีการกำจัดฟันผุมาให้เฮฮา เช่นว่าใช้เชือกโยงฟันซี่ปวดไว้ แล้วเอาปลายอีกข้างผูกติดกับประตู ถ้ามีใครเปิดกระชากประตูออก ฟันก็หลุดกระเด็นติดมา หรือใช้ม้าลากดึง ใช้ผูกติดกับก้อนหินแล้วเขวี้ยงออกไป สารพัดจะหามาทำให้ผู้ชมสนุกสนาน แต่ในชีวิตจริง การจะให้ฟันผุหลุดออกมานั้นเจ็บปวดรวดร้าว จนบางครั้งจะมีผู้ช่วยหมอทำหน้าที่ตีกลองรัวเพื่อกลบเสียงร้องโอดโอยของคนไข้ขณะถอนฟัน
โดยตัวตลกในละครจะเอาวิธีการกำจัดฟันผุมาให้เฮฮา เช่นว่าใช้เชือกโยงฟันซี่ปวดไว้ แล้วเอาปลายอีกข้างผูกติดกับประตู ถ้ามีใครเปิดกระชากประตูออก ฟันก็หลุดกระเด็นติดมา หรือใช้ม้าลากดึง ใช้ผูกติดกับก้อนหินแล้วเขวี้ยงออกไป สารพัดจะหามาทำให้ผู้ชมสนุกสนาน แต่ในชีวิตจริง การจะให้ฟันผุหลุดออกมานั้นเจ็บปวดรวดร้าว จนบางครั้งจะมีผู้ช่วยหมอทำหน้าที่ตีกลองรัวเพื่อกลบเสียงร้องโอดโอยของคนไข้ขณะถอนฟัน
ฟันปลอมแกะสลักจากงาช้าง
จวบจนย่างเข้าปลายศตวรรษที่ 17 จึงมีการทำฟันปลอมแบบหยาบๆขึ้นมาใช้สำหรับคนรวย โดยแกะสลักจากงาช้าง มีการวัดระยะต่างๆภายในปากด้วยวงเวียน แล้วใช้ด้ายไหมผูกรัดฟันปลอมยึดไว้กับฟันแท้ข้างเคียง ซึ่งถ้าหากกรณีฟันหมดปากก็อาจใช้ฟันเทียมเป็นชุด สำหรับเหงือกล่างนั้นฟันชุดไม่มีปัญหาแต่ฟันชุดเหงือกบนจะหลุดตกลงมาบ่อยๆไม่สะดวกในการใช้
เมื่อความต้องการฟันปลอมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ วัตถุดิบคืองาช้างขาดแคลน จึงมีการใช้ฟันจริงของมนุษย์ โดยคนยากคนจนจะบอกขายฟันของตนแก่พวกเศรษฐี แต่พวกชนชั้นสูงมักนิยมเอาวัสดุมีค่ามาทำฟันปลอม เช่น เงิน ทอง และหินอัญมณี
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าวัสดุจะเป็นอะไร ฟันปลอมเหล่านี้ก็จะถูกถอดออกก่อนจะกินอาหารอยู่ดี
เมื่อฟันปลอมหลุดง่าย บางคนจึงใช้วิธีติดตะขอเล็กๆเข้าที่ฟัน แล้วฝังตะขอนี้ลงไปในเหงือก ทำให้ยึดติดแน่นขึ้น ซึ่งในต้นศตวรรษที่ 18 หมอฟันฝรั่งเศสชื่อ โฟชาร์ด ได้คิดประดิษฐ์ฟันชุดทั้งบนและล่าง โดยยึดติดกันไว้ด้วยขดลวดสปริงทำให้ฟันชุดบนไม่ตกลงมา หากทว่าเมื่อจะหุบปากก็ต้องใช้ความพยายามกันหน่อย นอกจากนี้ยังมีการใช้วิธีฝังฟันปลอม
โดยเจาะโพรงลงไปในเหงือก แล้วเอาฟันจริงที่ซื้อมาเสียบฝังลงไป
โดยเจาะโพรงลงไปในเหงือก แล้วเอาฟันจริงที่ซื้อมาเสียบฝังลงไป
จอร์จ วอชิงตัน ไม่ค่อยมีรอยยิ้มเพราะผลจากการใส่ฟันปลอม.
ฟันของชนเผ่ามายา มีการประดับอัญมณี.
ก่อนหน้าการปฏิวัติในฝรั่งเศสไม่นาน หมอฟันชาวอิตาลีนามว่า กุยเซปปานเจโล ฟอนซิ (Guiseppangero Fonzi) ซึ่งฝึกงานอยู่ในปารีส ได้คิดอ่านประดิษฐ์ฟันปลอมขึ้นจากกระเบื้องดินเผา โดยฝังไว้กับแผ่นฐานที่ทำด้วยทองคำหรือทองคำขาว หลังจากนั้นก็ได้มีการนำเอาไปเผยแพร่ใช้ในอังกฤษอย่างกว้างขวาง แล้วในปี ค.ศ.1817 ฟันกระเบื้องนี้ก็มีผลิตเป็นชุดขึ้นในอเมริกา โดยออกแบบให้เหมาะสมกับรูปหน้าของแต่ละบุคคล เช่น สำหรับหน้าสี่เหลี่ยม หน้ารูปไข่
ปี ค.ศ.1815 ได้เกิดสงครามวอเตอร์ลู (Waterloo) ขึ้นระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศสในสมรภูมิรบวอเตอร์ลูของเบลเยียม เป็นศึกครั้งสุดท้ายของจอมจักรพรรดินโปเลียน ทหารทั้งสองฝ่ายล้มตายมากมาย จึงได้มีการเอาหัวกะโหลกจากศพเหล่านี้มาแคะเอาฟันออกมาขายเป็นฟันปลอม มีผู้นิยมเอามาใช้จนได้รับการขนานนามว่า “ฟันวอเตอร์ลู (Waterloo Teeth)” ซึ่งกระนั้นปริมาณก็ยังไม่เพียงพอกับความต้องการ ดังนั้นต่อมาในช่วงปี ค.ศ. 1861-1865 เมื่อเกิดสงครามกลางเมืองเลิกทาส (Civil War) ขึ้นในสหรัฐฯ ฟันจากศพของทหารที่เสียชีวิตจึงถูกส่งมาจำหน่ายถึงนครลอนดอนเช่นกัน
การใส่ฟันปลอมของชาวอีทรัสกัน.
พอถึงปี ค.ศ.1845 การทำฟันปลอมก็เริ่มพัฒนาดีขึ้น โดยหมอฟันอเมริกันชื่อคลอดิอุส แอช
(Claudius Ash) ซึ่งเป็นผู้ที่ไม่ชอบเอาฟันจากศพมาใส่ไว้ในปาก ได้ริเริ่มนำวัสดุอย่างใหม่ที่เรียกว่าวัลคาไนต์ (vulcanite) ซึ่งเป็นยางที่ผสมด้วยกำมะถันทำให้มีความแข็งตัว ใช้หล่อพิมพ์ออกมาเป็นเหงือกที่มีความกระชับเข้ากับฐานเหงือกเดิม และการฝังฟันกระเบื้องดินเผาก็ติดแน่นคงทน ทำให้วิธีการติดลวดสปริงแบบเดิมๆค่อยๆเลือนหายไป
(Claudius Ash) ซึ่งเป็นผู้ที่ไม่ชอบเอาฟันจากศพมาใส่ไว้ในปาก ได้ริเริ่มนำวัสดุอย่างใหม่ที่เรียกว่าวัลคาไนต์ (vulcanite) ซึ่งเป็นยางที่ผสมด้วยกำมะถันทำให้มีความแข็งตัว ใช้หล่อพิมพ์ออกมาเป็นเหงือกที่มีความกระชับเข้ากับฐานเหงือกเดิม และการฝังฟันกระเบื้องดินเผาก็ติดแน่นคงทน ทำให้วิธีการติดลวดสปริงแบบเดิมๆค่อยๆเลือนหายไป
กรรมวิธีเจาะรูบนฟันเพื่อฝังอัญมณี.
ก่อนจะขึ้นศตวรรษใหม่ ได้มีการนำเอาเซลลูลอยด์ (celluloid-นิยมเอามาทำลูกบิลเลียด) มาทำฟันเทียม เนื่องจากเป็นวัสดุที่ราคาถูก แต่ก็ต้องเลิกราไปเพราะวัสดุชนิดนี้ติดไฟง่าย และมีข่าวแพร่กระจายว่าชายคนหนึ่งที่ใส่ฟันปลอมเซลลูลอยด์ต้องโดนไฟลวกปาก ด้วยเหตุที่ขณะสูบบุหรี่ ฟันของเขาก็พลันลุกเป็นไฟขึ้น
ยุคหลังๆต่อมา ได้มีการนำเอายางพลาสติกอะคริลิก (plastic acrylic resin) มาใช้ทำเป็นฐานเหงือกและฟันปลอม จวบจนถึงปัจจุบันนี้ที่เทคโนโลยีวัสดุสังเคราะห์ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ฟันปลอมจึงผลิตขึ้นจากนานาวัสดุที่พัฒนาดีขึ้นเป็นลำดับไปเรื่อยๆ
เรื่องของฟันและฟันปลอมนั้นมีตำนานสนุกๆที่จารึกไว้หลายหลากดังต่อไปนี้
-จากการวิจัยพบว่า ชนมายันโบราณยุคแฟชั่นก้าวหน้า มีการประดับประดาฟันด้วยการสกัดเคลือบฟันออกแล้วเอาอัญมณีชิ้นเล็กๆ มาติดกาวอุดเข้าไปในหลุมที่แซะออกนั้น
ควีนอลิซาเบธที่ 1
-หมอฟันคนแรกของโลกน่าจะเป็นชาวอียิปต์นามเฮซิ-เร (Hesi–Re) ผู้มีชีวิตอยู่ในราว 3,000 ปีก่อน ค.ศ. โดยหลุมศพของเขามีคำจารึกว่า “ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในหมู่ชนที่ทำงานเกี่ยวกับฟัน...”
-หมอฟันชาวโรมันชื่อ อาร์ชิเกเนส (Archigenes) ในสมัยช่วง ค.ศ.15 ได้ใช้ไส้เดือนปิ้ง ไข่แมงมุมบด ผสมเข้ากับสมุนไพรบางอย่างแล้วอุดเข้าไปในโพรงฟันซี่ที่ปวด นับว่าเป็นยาระงับปวดที่ได้ผล เพราะมีคนไข้น้อยรายจะกลับไปให้เขารักษาซ้ำ
ฟันปลอมที่ทำจากฟันมนุษย์จริงๆ บนฐานที่ทำงาช้าง.
-พบว่ามีร่องรอยปรากฏอยู่ที่ฟันของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งเหมือนกันกับร่องรอยฟันที่เกิดจากการใช้ไหมหรือไม้จิ้มฟันกำจัดเศษอาหารที่ติดค้างตามซอกฟันซึ่งนิยมใช้ในปัจจุบัน
-ไม่มีคนสองคนที่มีฟันเป็นชุดลักษณะเดียวกัน พูดได้ว่าแต่ละคนนั้นมีฟันเป็นเอกลักษณ์ของตนเหมือนๆกับเส้นลายนิ้วมือ
-ทุกวันนี้มีราว 45 เปอร์เซ็นต์ของผู้สูงวัยเกิน 65 ปี ซึ่งไม่มีฟันครบสมบูรณ์
ฟันปลอมของชาวอีทรัสกัน.
แต่ตำนานฟันปลอมของบุคคลที่โด่งดังที่สุดคงไม่มีใครเกิน จอร์จ วอชิงตัน (George Washington) ประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกา
จอร์จสูญเสียฟันแท้เกือบหมดตั้งแต่อายุยังน้อย หมอฟันของเขาชื่อจอห์น กรีนวูด ได้สรรหาวัสดุต่างๆมาทำฟันปลอมให้จอร์จ อาทิ เขี้ยวฮิปโป งาช้าง ฟันจากทาส เมื่อเอามาฝังไว้กับฐานเหงือกปลอมแล้วก็ยึดติดฟันชุดนี้ไว้ด้วยลวดสปริงโลหะเพื่อให้กระชับแน่น แต่มันก็ทำให้จอร์จต้องหุบปากเกือบตลอดเวลา จนใบหน้าของเขาในภาพวาดไม่มีรอยยิ้ม
แม้ว่าจอร์จจะดูแลสุขภาพฟันของเขาอย่างดี แปรงฟันทุกวัน บ้วนปากด้วยน้ำยาและขัดลิ้น หากทว่าฟันของเขาอ่อนแอตามธรรมชาติ และเริ่มผุหลุดร่วงตั้งแต่อายุ 22 จนหมดเกลี้ยงทุกซี่ในวัย 55 ตอนที่เขาประกาศเข้ารับตำแหน่ง ปธน. ในปี ค.ศ.1789 นั้น จอร์จมีฟันแท้เหลือเพียงแค่ซี่เดียว.