ราชาทองคำ mansa musa
![]() |
ราชาทองคำ มานซา มูซา |
เกิดในปีค.ศ. 1280 ในครอบครัวของชนชั้นปกครอง มานซา อาบูบักร์ พระเชษฐาของพระองค์ทรงปกครองอาณาจักรจนถึงปี ค.ศ. 1312 ซึ่งพระองค์ได้ทรงสละราชสมบัติเพื่อออกเดินทางสำรวจ
ชีบับ อัลอูมารี นักประวัติศาสตร์ชาวซีเรียในสมัยศตวรรษที่ 14 บอกว่า อาบูบักร์ ทรงหลงใหลมหาสมุทรแอตแลนติกมากและต้องการทราบว่ามีอะไรอยู่ถัดจากทหาสมุทร มีรายงานว่า พระองค์ทรงเริ่มการเดินทางสำรวจพร้อมกองเรือ 2,000 ลำ ในคณะสำรวจมีทั้งชาย, หญิง และทาสหลายพันคน พวกเขาออกทะเลไปและไม่กลับมาอีกเลย แต่นักประวัติศาสตร์คนอื่น เช่น อิวาน วาน เซอร์ทิมา นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันผู้ล่วงลับ บอกว่า คณะสำรวจนี้เดินทางไปจนถึงอเมริกาใต้ แต่ไม่มีหลักฐานอ้างอิงเรื่องนี้
อย่างไรก็ตามอาณาจักรมาลีก็ได้ตกเป็นของ มานซา มูซา
ในยุคของมานซา มูซา อาณาจักรมาลีแผ่ขยายออกไปอย่างมาก พระองค์ทรงผนวก 24 เมือง รวมถึงทิมบักตู (Timbuktu) เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักร
อาณาจักรนี้แผ่ขยายไปถึง 2,000 ไมล์ (ประมาณ 3,200 กม.) จากมหาสมุทรแอตแลนติกไปจนถึงไนเจอร์ในปัจจุบัน รวมถึงพื้นที่บางส่วนของเซเนกัล, มอริเตเนีย, มาลี, บูร์กินาฟาโซ, ไนเจอร์, แกมเบีย, กินีบิสเซา, กินี และไอวอรีโคสต์
การมีที่ดินจำนวนมหาศาล ทำให้มีทรัพยากรมากมายอย่างเช่น ทองคำ และเกลือ
บริติชมิวเซียม ประเมินว่าในรัชสมัยของมานซา มูซา อาณาจักรมาลีครอบครอบทองคำเกือบครึ่งหนึ่งของทั้งโลกยุคเก่า และแน่นอนว่าทองคำทั้งหมด เป็นของกษัตริย์มานซา มูซา
"ด้วยสถานะพระราชา มานซา มูซา สามารถเข้าถึงแหล่งความมั่งคั่งสูงสุดได้อย่างไม่จำกัดในโลกสมัยโบราณ" คัทลีน บิกฟอร์ด เบอร์ซ็อก ซึ่งเชี่ยวชาญด้านศิลปะแอฟริกาที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะบล็อก (Block Museum of Art) มหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น กล่าวกับบีบีซี
"ศูนย์กลางการค้าขายที่สำคัญ ที่มีการซื้อขายทองคำและสินค้าอื่น ๆ ก็ตั้งอยู่ในดินแดนของพระองค์ และพระองค์ก็ทรงสะสมความมั่งคั่งจากการค้าขายนี้" เธอกล่าวเพิ่มเติ่ม
การเดินทางสู่นครเมกกะ
แม้ว่าอาณาจักรมาลีเป็นแหล่งทองคำ แต่อาณาจักรแห่งนี้ก็ไม่ได้เป็นที่รู้จักนัก จนกระทั่ง มานซา มูซา ซึ่งเป็นมุสลิมที่เคร่งศาสนา ทรงตัดสินพระทัยเสด็จไปแสวงบุญที่นครเมกกะ โดยต้องเสด็จผ่านทะเลทรายซาฮาราและอียิปต์
การเดินทางไปยังนครเมกกะ ทำให้มาลี และมานซา มูซา เป็นที่รู้จัก บนแผนที่ ภาพถ่ายสำเนาแผนที่คาตาลันปี 1375
มีรายงานว่า มานซา มูซา เสด็จออกจากมาลีพร้อมกับกองคาราวานชาย 60,000 คน
พระองค์ทรงนำข้าราชบริพารในราชสำนัก ทหาร ผู้ถวายความบันเทิง พ่อค้า คนบังคับอูฐ และทาสอีก 12,000 คนไปด้วย นอกจากนี้ยังขนแพะและแกะไปเป็นอาหารจำนวนมาก ราวกับเป็นเมืองที่กำลังเคลื่อนที่ผ่านทะเลทราย
ผู้อาศัยอยู่ในเมืองนี้ รวมถึงทาส นุ่งห่มด้วยไหมทองและไหมเปอร์เซียที่ประณีต อูฐหลายร้อยตัวถูกจูงไป โดยแต่ละตัวต้องบรรทุกทองคำบริสุทธิ์หนักหลายร้อยปอนด์
เป็นภาพที่สะดุดตา และยิ่งเมื่อทั้งคณะเดินทางมาถึงกรุงโคโร ภาพของความมั่งคั่งยิ่งเป็นที่ประจักษ์
ราคาทองคำร่วงในกรุงไคโร
มานซา มูซา ได้สร้างความน่าประทับใจที่น่าจดจำไว้ในกรุงไคโร โดยอัลอูมารี ซึ่งได้เดินทางเยือนเมืองแห่งนี้อีก 12 ปีต่อมา ได้บอกเล่าถึงเรื่องราวที่ผู้คนในกรุงไคโรพูดถึง มานซา มูซา ไว้จำนวนมาก
พระองค์ทรงแจกทองคำจำนวนมากให้แก่ผู้คนในกรุงไคโรในช่วงที่พำนักที่นั่นนาน 3 เดือน จนทำให้ราคาทองคำในภูมิภาคนั้นร่วงลงนาน 10 ปี สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจ
SmartAsset.com บริษัทด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ประเมินว่า สืบเนื่องจากราคาทองคำลดต่ำลง คณะแสวงบุญของมานซา มูซา ทำให้เกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจทั่วตะวันออกกลางราว 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 4.76 หมื่นล้านบาท
ตอนขากลับ มานซา มูซา เสด็จผ่านอียิปต์อีกครั้ง และบางคนบอกว่า พระองค์ทรงพยายามช่วยเศรษฐกิจของอียิปต์ด้วยการ ลดจำนวนทองคำที่หมุนเวียนอยู่ ยอมกู้ยืมทองคำจากนายทุนในอียิปต์ โดยยอมจ่ายดอกเบี้ยที่สูงลิ่วจากความเป็นจริง แต่บางคนก็บอกว่า พระองค์ทรงใช้จ่ายเกินกำลังจนทองคำหมดตัว
ลูซี ดูแรน จากวิทยาลัยโซแอส ในกรุงลอนดอน ระบุว่า ผู้ถวายความบันเทิงชาวมาลีหลายคน ซึ่งขับร้องเพลงเกี่ยวกับเรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์ต่างไม่พอใจพระองค์
"พระองค์ทรงแจกทองคำของมาลีขณะเดินทางมาก จนทำให้ผู้ถวายความบันเทิงไม่อยากสรรเสริญพระองค์ในบทเพลงที่พวกเขาขับขาน เพราะคิดว่าพระองค์ทรงใช้ทรัพยากรของชาติอย่างสิ้นเปลืองนอกราชอาณาจักร" เธอกล่าว
สนพระทัยในการศึกษา
มานซา มูซา ทรงสูญเสียทองคำไปจำนวนมาก ระหว่างเสด็จไปแสวงบุญ แต่ความมีน้ำพระทัยเอื้อเฟื้อของพระองค์ทำให้ชาวโลกให้ความสนใจ
มานซา มูซา ทรงทำให้มาลีและพระองค์เองปรากฏอยู่บนแผนที่ ในแผนที่คาตาลันปี 1375 มีภาพวาดของกษัตริย์แอฟริกันพระองค์หนึ่งทรงประทับนั่งบนบัลลังก์ทองคำเหนือทิมบักตู ขณะทรงถือทองคำไว้ในพระหัตถ์
ทิมบักตู กลายเป็น เอลโดราโด (นครแห่งทองคำในตำนานลาตินอเมริกา) ของแอฟริกา และผู้คนทั้งใกล้และไกลต้องหันมอง
ในศตวรรษที่ 19 ทิมบักตูยังคงมีสถานะลึกลับว่าเป็นเมืองแห่งทองคำที่สูญหายที่ชายขอบโลก ทำให้ทั้งนักสำรวจและนักล่าสมบัติชาวยุโรปต่างให้ความสนใจ และเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นมาจากสิ่งที่มานซา มูซา ทรงทำไว้เมื่อ 500 ปีก่อนหน้านั้น
มานซา มูซา สั่งให้สร้าง มัสยิดจิงเกอเรเบอร์ (Djinguereber Mosque) ในปี 1327
มานซา มูซา เสด็จกลับจากนครเมกกะพร้อมกับครูสอนศาสนาอิสลามจำนวนมาก รวมถึง ผู้สืบเชื้อสายโดยตรงจากศาสดาโมฮัมหมัด และกวีและสถาปนิกชาวอันดาลูเซีย ที่รู้จักกันในชื่อ อาบู เอส ฮัก เอส ซาเฮลี (Abu Es Haq es Saheli) ซึ่งได้รับการยกย่องจากการออกแบบมัสยิดจิงเกอเรเบอร์ (Djinguereber Mosque) อันมีชื่อเสียง
มีรายงานว่า กษัตริย์พระองค์นี้ทรงมอบทองคำหนัก 220 กิโลกรัมให้แก่กวีผู้นี้ ซึ่งมีมูลค่าปัจจุบันที่ 8.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 260 ล้านบาท)
นอกจากจะส่งเสริมศิลปะและสถาปัตยกรรมแล้ว พระองค์ยังทรงสนับสนุนด้านวรรณกรรมและสร้างโรงเรียน, ห้องสมุด และมัสยิดจำนวนมากด้วย ทิมบักตู กลายเป็นศูนย์กลางการศึกษาในเวลาอันรวดเร็ว และผู้คนจากทั่วโลกเดินทางมาเรียนที่ที่กลายเป็นมหาวิทยาลัยซันโคเร (Sankore University)
กษัตริย์ผู้ร่ำรวยพระองค์นี้มักได้รับการยกย่องว่า ทรงริเริ่มประเพณีการศึกษาในแอฟริกาตะวันตก แม้ว่าเรื่องราวของอาณาจักรของพระองค์ยังคงแทบไม่มีใครนอกภูมิภาคแอฟริกาตะวันตกรู้จักเลยก็ตาม
"ประวัติศาสตร์เขียนโดยผู้ชนะ" วินส์ตัน เชอร์ชิลล์ นายกรัฐมนตรีในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ของอังกฤษ กล่าวไว้
หลังจากมานซา มูซา เสด็จสวรรคตในปี 1337 ขณะทรงมีพระชนมพรรษา 57 พรรษา พระราชโอรสของพระองค์ทรงปกครองอาณาจักรต่อ แต่ไม่สามารถรวบรวมอาณาจักรเป็นปึกแผ่นได้ รัฐที่เล็กกว่าได้แยกตัวออกไป และอาณาจักรก็ล่มสลาย
เมื่อชาวยุโรปเข้ามาในภูมิภาคนี้ในเวลาต่อมา ทำให้อาณาจักรแห่งนี้ถูกปิดฉากลงอย่างสิ้นเชิง
"ประวัติศาสตร์ของยุคกลางยังคงถูกมองว่าเป็นประวัติศาสตร์ของชาติตะวันตก" ลิซา คอร์ริน กราซิโอเซ ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ศิลปะบล็อก กล่าว ขณะอธิบายว่า ทำไมเรื่องราวของ มานซา มูซา ไม่เป็นที่รู้จักกว้างขวางนัก
"ถ้าชาวยุโรปเข้าไปในสมัยของมูซา ขณะที่มาลีมีอำนาจทางเศรษฐกิจและมีทหารจำนวนมาก ไม่ใช่เข้าไปในช่วง 200-300 ปีหลังจากนั้น เรื่องราวก็คงจะแตกต่างไปจากนี้" นายแวร์ กล่าว